JMT อัดงบปี 68 แตะ 2 พันลบ. ลุยซื้อหนี้-เปิด 3 แอปพลิเคชันบริการลูกค้าออนไลน์

JMT กางแผนปี 68 อัดงบลงทุนซื้อหนี้บริหาร 2 พันล้านบาท คาดหนุนกำไรแตะระดับ 2.2 พันล้านบาท พร้อมเสริมแกร่งธุรกิจผ่าน 3 แอปพลิเคชันบริการลูกค้าออนไลน์ หวังลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน เสริมแกร่งธุรกิจในอนาคต


นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ได้เปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2567 ผ่านงาน Opportunity Day ที่จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 โดยรายงานผลการดำเนินงานปี 2567 ว่ามีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 1,615.22 ล้านบาท ลดลง 19.67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 2,010.66 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนการให้บริการ อยู่ที่ 1,569.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 1,307.30 ล้านบาท สาเหตุจากการขยายธุรกิจติดตามหนี้ โดยเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับในกลุ่มค่าตอบแทนพนักงานและค่าใช้จ่ายทางกฎหมายเพื่อดำเนินคดี

นอกจากนี้ มีค่าใช้จ่ายด้านผลการขาดทุนทางด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss: ECL) โดยมี ECL ในปี 2567 อยู่ที่ 612.80 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 150.4 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 32.50%

อย่างไรก็ตาม JMT ยังคงดำเนินธุรกิจตามแผนเดิม โดยมี JMT เป็นบริษัทแม่และบริษัทย่อยอีก 5 บริษัท ซึ่งในปีที่ผ่านมา กลุ่ม JMT สามารถสร้างรายได้รวมประมาณ 8,809 ล้านบาท สำหรับปี 2567 บริษัทลงทุนประมาณ 1,100 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อซื้อหนี้มาบริหาร ขณะที่ธุรกิจร่วมทุน (JV) กับ JK สามารถสร้างกำไรได้ประมาณ 900 ล้านบาท

โดยปัจจุบันธุรกิจหลักของ JMT คือการ ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) มาบริหาร คิดเป็นสัดส่วน 88% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นการรับบริหารจัดการหนี้เสียให้กับสถาบันการเงิน ส่วนธุรกิจด้าน บริหารจัดการหนี้ให้บุคคลภายนอก คิดเป็น 7% ของรายได้ รวมถึงมีธุรกิจ ประกันภัย คิดเป็น 5% ของรายได้รวม

ด้าน นายสุทธิรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT กล่าวว่าตั้งเป้าหมายในปี 2568 กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยตั้งเป้ากำไรให้อยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท จากธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพที่สร้างรายได้อย่างมั่นคง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจและกำลังซื้อจะชะลอตัวก็ตาม บริษัทยังคงเน้นการปรับปรุงคุณภาพในการจัดเก็บหนี้และบริหารความเสี่ยงจากผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) ซึ่งในปีที่ผ่านมา 2567 ได้มีการปรับแก้ไขอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ ECL ลดลงอย่างชัดเจน และในไตรมาส 1/2568 อยู่ในระดับที่บริษัทตั้งเป้าไว้ โดยคาดการณ์ว่าแนวโน้ม ECL ในไตรมาสถัดไปจะลดลงต่อเนื่อง

นอกจากนี้ JMT วางงบซื้อหนี้ปี 2568 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท คาดการณ์การซื้อหนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในครึ่งปีหลังปี 2568 จากครึ่งปีแรกยังมีมาตรการภาครัฐผยุงอยู่ และบริษัทยังโฟกัสกลุ่ม Unsecure Loan เป็นหลัก จากสิ้นปี 2567 JMT ใช้เงินลงทุนซื้อหนี้ 1,139 ล้านบาท ซื้อหนี้เข้ามาบริหารประมาณ 30,000 ล้านบาท สนับสนุนพอร์ตบริหารหนี้รวมอยู่ที่ 544,920 ล้านบาท และมียอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8,809 ล้านบาท (รวม JK AMC) เรามีแอปพลิเคชันมาช่วยสนับสนุนธุรกิจทั้งการชำระหนี้ และนัดหมายสำหรับการซื้อบ้านมือสอง ทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ

สำหรับแผนการรุกตลาด InsurTech หลังจาก JMT ได้ประกาศแผนเข้าร่วมทุนกับ บริษัท แอกซินัน (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งการร่วมค้า (Joint Venture) มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจประกันภัยในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้แบรนด์ “igloo” โดย JMT ถือหุ้นในบริษัทร่วมค้า 51% ขับเคลื่อน InsurTech ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ หุ้นกู้ของ JMT 2 ชุดที่จะครบกำหนดในเดือนเมษายน และตุลาคมเตรียมเงินรอไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเงินจำนวน 4,500 ล้านบาท มาจาก Cash Collection อีกทั้ง มีเงินสดในมือ และเงินในกองทุน รวมทั้ง มีแผนออกหุ้นกู้ประมาณ 4,500 ล้านบาท

“บริษัทเตรียมชำระหนี้หุ้นกู้ครบกำหนด 2 ชุด ในช่วงเดือนเมษายนและในเดือนตุลาคม  ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีเงินสดอยู่ในมือประมาณ 1,100 ล้านบาท และมีเงินมีเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีแผนออกหุ้นกู้ (Debentures) มูลค่า 4,500 ล้านบาท ขณะที่วงเงินสินเชื่อจากธนาคาร (Bank Facilities – Available Line) คงเหลือประมาณ 300 ล้านบาท” นายสุทธิรักษ์ กล่าว

ด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันบริษัทถือเป็นธุรกิจ AMC (Asset Management Company) ในรูปแบบดิจิตอล เนื่องจากมีแอปพลิเคชันบริการลูกค้า 3 แอป อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ได้แก่ 1. แอป “จ่ายดีนะ” 2. แอป “บ้าน บ้าน” สำหรับลูกค้าที่สนใจขายบ้านมือสองหรือ NPA และ 3. แอปพิเคชั่นใหม่ คือ “ไว้ใจ ประกันภัย” ที่นับเป็นแอปบริการใหม่สำหรับบริษัท โดยทั้ง 3 แอปนี้ได้บริษัทได้ให้ความสำคัญ อย่างมาก ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้าน AI โดยเชื่อว่า การพัฒนาแอปเหล่านี้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในอนาคต ให้บริษัทกลับมาอยู่มรทิศทางที่ดี

Company Snapshot

Back to top button