6 โบรกแนะสอย NER เป้าสูง 6.45 บาท ลุ้นปีนี้กำไรเฉียด 2 พันล้าน

6 โบรกฯ แนะนำลงทุนหุ้น NER ราคาเป้าหมายสูงสุด 6.45 บาท คาดการณ์กำไรปีนี้แตะ 1.8 พันล้านบาท โต 11% ตอบรับเป้ายอดขาย 5 แสนตัน และคาดมีลูกค้าใหม่จากอินเดียเริ่มทยอยสั่งซื้อในครึ่งหลังของปี


บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DAOLSEC คงคำแนะนำ “ถือ” หุ้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 5.50 บาท อิงจากค่าเฉลี่ยอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PER) ที่ 6 เท่า ในปี 2568 ตามค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี โดย NER รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 359 ล้านบาท ลดลง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 0.4% จากไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม กำไรปกติ (ไม่รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน) อยู่ที่ 484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 119% จากไตรมาสก่อน ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้น 27% จากปีก่อน ตามทิศทางราคายางในตลาดโลก และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่ลดลงตามสัดส่วนการส่งออก

โดยปัจจัยบวกเหล่านี้ถูกหักล้างบางส่วนจากอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ลดลง 250 จุดฐาน (bps) เนื่องจากต้นทุนยางที่สูงขึ้น ซึ่งบริษัทบันทึกโดยใช้วิธีถัวเฉลี่ย ทั้งนี้ กำไรปกติฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนได้อย่างมีนัยสำคัญจากปริมาณขายที่ขยายตัว 39% จากไตรมาสก่อนตามฤดูกาลสูงสุดของอุตสาหกรรม และสถานการณ์วัตถุดิบรวมถึงภัยแล้งที่เริ่มคลี่คลาย

ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการกำไรปกติปี 2568 ที่ 1.7 พันล้านบาท เติบโต 4% จากปีก่อน สำหรับแนวโน้มไตรมาส 1 ปี 2568 คาดว่ากำไรปกติอาจชะลอตัวทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อน เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเมื่อเทียบกับฐานสูงในไตรมาส 1 ปี 2567 รวมถึงปริมาณขายที่ปรับตัวลดลงหลังผ่านช่วงฤดูกาลสูง ราคาหุ้น NER ปรับตัวดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยเพิ่มขึ้น 10% ในช่วง 1 เดือน และ 16% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกหลังบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับครึ่งปีหลังของปี 2567 ที่ 0.31 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูงถึง 6% และกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 เมษายน 2568

อย่างไรก็ตาม DAOL SECURITIES ยังคงคำแนะนำ “ถือ” เนื่องจาก 1) ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 อาจชะลอตัว, 2) การขยายกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ในโกตดิวัวร์และไทย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้เร็วสุดในปี 2569 และ 3) ปัจจัยท้าทายจากนโยบายของสหรัฐฯ เช่น การยกเลิกมาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และการปรับขึ้นภาษีนำเข้ายานยนต์ ที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในอนาคต

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด ปรับคำแนะนำหุ้น NER ลงเป็น Neutral จากเดิมที่ Outperform โดยอ้างอิงจากการปรับขึ้นของราคาหุ้นที่ใกล้เคียงกับมูลค่าที่เหมาะสมในปี 2568 ที่ระดับ 5.38 บาท ซึ่งคำนวณจากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 20.7% และสะท้อนค่าหุ้นที่มี PER เป้าหมายที่ 4.8 เท่า การประเมินมูลค่าหุ้นบ่งชี้ว่าราคาหุ้นในปัจจุบันสูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน

ขณะที่การเติบโตของกำไรมีความสม่ำเสมอ แม้จะได้รับแรงกดดันจากการปรับขึ้นของราคาวัตถุดิบ ซึ่งส่งผลให้การฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นเป็นไปอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาวะนี้จะค่อย ๆ คลี่คลายตามการปรับราคาขายในอนาคต

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับหุ้น NER โดยตั้งราคาเป้าหมายที่ 5.85 บาท คาดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 6.1% หลังจากที่บริษัทรายงานกำไรปกติในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ 484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 119% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับการคาดการณ์ โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 8,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่ปริมาณการขายทำสถิติสูงสุดในรอบ 8 ไตรมาสที่ 136,000 ตัน เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พร้อมทั้งราคาขายที่ 66 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถลดค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร (SG&A/sales) ลงเหลือ 1.8% จาก 2.8% ในไตรมาส 4 ปี 2566 และ 2.9% ในไตรมาส 3 ปี 2567 เนื่องจากสัดส่วนการขายในประเทศเพิ่มขึ้น

โดยรายได้จากการขายในประเทศเติบโตขึ้น 52% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และ 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 73% จาก 65% ในไตรมาส 4 ปี 2566 และ 71% ในไตรมาส 3 ปี 2567 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและการขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง (hedging loss) ทำให้มีกำไรสุทธิ 359 ล้านบาท ลดลง 22% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1 ปี 2568 คาดว่าจะลดลงทั้งในเชิงรายปีและรายไตรมาส เนื่องจากต้นทุนราคายางที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรจากการขาย (GPM) และการจ่ายดอกเบี้ยจากการออกหุ้นกู้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2567 ขณะเดียวกัน ปริมาณการขายที่ลดลงจากปัจจัยฤดูกาลจะส่งผลให้กำไรลดลงในไตรมาสนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดการณ์กำไรปกติปี 2568 จะเติบโต 21% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อยู่ที่ 2,024 ล้านบาท โดยคาดว่าในครึ่งหลังของปี 2568 ผลประกอบการจะดีขึ้นจากการเติบโตของปริมาณการขาย โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทตั้งเป้าหมายการขายยางอยู่ที่ 5 แสนตันต่อปี

ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคาดราคาหุ้น NER จะมีการปรับตัวขึ้นไปที่ 5.85 บาท อิงจากอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PER) ที่ 6.4 เท่า โดยมองว่าในอนาคตจะมีแนวโน้มที่ดีจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายและทิศทางราคายางที่มีการปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีการจ่ายเงินปันผลสูงที่ 6.1% ณ ราคาปัจจุบัน โดยมีวันขึ้น XD ในวันที่ 24 เมษายน 2568

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า NER รายงานกำไรปกติในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ 484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 12.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ 4% โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 359 ล้านบาท เนื่องจากมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 12 ล้านบาท และขาดทุนจากอนุพันธ์ 113 ล้านบาท

โดยกำไรปกติที่ดีกว่าคาดเล็กน้อยเกิดจากรายได้ที่สูงกว่าคาดจากปริมาณการขายที่ 136,000 ตัน (คาด 130,000 ตัน) และราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่ 65.6 บาทต่อกิโลกรัม (คาด 65.0 บาทต่อกิโลกรัม) เพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 26.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา รายได้รวมอยู่ที่ 8,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 35.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งดีกว่าคาดการณ์ไว้ 6% แม้ว่ากำไรขั้นต้นจากการขาย (GPM) จะต่ำกว่าคาดที่ 8.8% (คาด 9.0%)

ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายอยู่ที่ 1.8% ลดลงจาก 2.9% ในไตรมาส 3 ปี 2567 และ 2.8% ในไตรมาส 4 ปี 2566 เนื่องจากรายได้ที่สูงขึ้นมาก กำไรสุทธิทั้งปี 2567 อยู่ที่ 1,652 ล้านบาท และกำไรปกติอยู่ที่ 1,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังปี 2567 ที่ 0.31 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 6.1% ซึ่งจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 24 เมษายน 2568

สำหรับแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1 ปี 2568 คาดว่าจะทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อยทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและปีที่ผ่านมา จากปริมาณการขายที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าราคาขายจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ต้นทุนเฉลี่ยอาจสูงขึ้นตามราคายางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาส 1 ปี 2568 ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการขาย (GPM) อยู่ที่ 9% +/- ขณะที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คาดว่าปริมาณการขายจะทรงตัว แต่ราคาขายเฉลี่ย (ASP) จะเพิ่มขึ้นราว 15%

อย่างไรก็ตาม GPM คาดว่าจะลดลงจากฐานที่สูงในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ทำไว้ที่ 11.6% ทั้งนี้บริษัทคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 6.45 บาท โดยในปัจจุบันหุ้นซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (PER) ปี 2568 เพียง 5.7 เท่า และมีผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉพาะงวดครึ่งปีหลังปี 2567 ที่สูงถึง 6.1% โดยคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลปี 2568 ที่ 0.36 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 7.2% จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับหุ้น NER

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ Trading Buy หุ้น NER พร้อมราคาเป้าหมายที่ 5.15 บาท ซึ่งคำนวณจาก PER ที่ 5.1 เท่า โดยยังคงเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลดีที่ 0.31 บาท หรือ Dividend Yield ที่ 6% นอกจากนี้ PBV ยังอยู่ในระดับ 1.1 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ 20% ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่มั่นคง โดยเฉพาะการขยายกำลังการผลิตที่คาดว่าจะเห็นผลในอีก 2 ปีข้างหน้า

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2024 NER รายงานกำไรที่ 359 ล้านบาท ลดลง 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และลดลง 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด โดยได้รับผลกระทบจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (Fx Loss) ประมาณ 125 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรปกติจะอยู่ที่ 484 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 118% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าคาดการณ์ของตลาด

บริษัทคาดว่ากำไรในปี 2568 จะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยผู้บริหารยังคงมั่นใจในยอดขายที่ 5 แสนตัน และคาดว่าจะมีลูกค้าใหม่จากประเทศอินเดียที่เริ่มทยอยสั่งซื้อในครึ่งหลังของปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทยังคงแผนการขยายกำลังการผลิตจาก 510,000 ตัน เป็น 830,000 ตัน ในปี 2570 โดย Phase 1 คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างโรงงานใหม่ในครึ่งหลังของปี 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในครึ่งแรกของปี 2569 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตในปี 2569 ประมาณ 30% โดยในขณะนี้บริษัทได้เริ่มเจรจากับลูกค้าใหม่ๆ จากอินเดียแล้ว เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิต เนื่องจากความต้องการยางในอินเดียสูงและมีความต้องการแหล่งยางที่มั่นคงจากปัญหาต้นยางตายในอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการขายสินค้าใหม่ โดยลดการขายล่วงหน้า 100% ลงเป็น 85% ซึ่งส่วนที่ลดลง 15% จะช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้กับบริษัท จากแนวโน้มราคายางที่มีการปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของราคายางและปริมาณการขายรถยนต์ยังคงต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด หรือ INVX ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นของบริษัท NER ปัจจุบันมี Upside จำกัดจากราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ระดับ 5.00 บาท ซึ่งคำนวณจาก EPS ที่อิงจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากการใช้สิทธิแปลงสภาพ NER-W2 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 308 ล้านหน่วย และกำหนดให้ใช้สิทธิเท่ากัน 3 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือ 1.5 ปี พร้อมกับอิงค่าเฉลี่ย PER ที่ 6.0 เท่าเช่นเดิม แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากนโยบายเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐที่อาจกระทบต่ออุปสงค์ยาง แต่ NER ยังมีจุดเด่นที่การจ่ายเงินปันผลสูง

โดยล่าสุดได้ประกาศจ่ายเงินปันผลจากกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ที่หุ้นละ 0.31 บาท (XD 24 เม.ย.) คิดเป็น Div. Yield 6.1% ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในขณะนี้จึงแนะนำให้ถือหุ้นในระดับ “Neutral” เพื่อรับเงินปันผล

ในปี 2568 NER ตั้งเป้าหมายการเติบโตด้วยยอดขายที่ประมาณ 34,500 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์ยอดขายยางที่ 5 แสนตัน ซึ่งเติบโตขึ้น 14% จากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้บริษัทคาดว่าอุปทานยางโลกจะทรงตัว โดยอุปทานยางในอินโดนีเซียที่ลดลงจะได้รับการชดเชยจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นในโกตดิวัวร์

ขณะเดียวกันปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยคาดว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณการกรีดยางขึ้น 20% ในปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตโดยการสร้างโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ในประเทศไทย ซึ่งมีกำลังการผลิต 3.2 แสนตัน โดยจะเริ่มก่อสร้างในกลางปีนี้และคาดว่าจะเปิดเฟสแรกได้ในกลางปี 2569

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะกู้เงินจากสถาบันการเงินประมาณ 2,000 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการก่อสร้างโรงงานใหม่ ส่งผลให้ระดับหนี้สินต่อทุน (D/E) อาจเพิ่มจาก 1.2 เท่าเป็น 1.6 เท่า ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าในการสร้างโรงงานผลิตยางในโกตดิวัวร์ยังคงล่าช้าเนื่องจากการรอการอนุมัติจากรัฐบาลโกตดิวัวร์

Back to top button