ประธาน TDRI ชี้! คดีฟ้อง “พิรงรอง รามสูต” กระทบเชื่อมั่นยุติธรรม-เจ้าหน้าที่รัฐ

“สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์” ประธาน TDRI มองคดีฟ้องร้อง “พิรงรอง รามสูต” สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างกระบวนการยุติธรรมไทย อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญกระทบความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบยุติธรรม และเจ้าหน้าที่รัฐ  


นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กแสดงความกังวลต่อคำตัดสินในคดีที่บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ผู้ให้บริการแฟลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ทรู ไอดีฟ้องร้อง นางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมองว่าคดีนี้อาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อระบบยุติธรรม หน่วยงานรัฐ และผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ

หนึ่งในประเด็นสำคัญของคดีนี้คือ แม้การดำเนินการของนางสาวพิรงรองจะเป็นไปในนามของสำนักงาน กสทช. และอยู่ภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้ นั่นคือ กฎ Must Carry ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น แต่การแพ้คดีของ นางสาวพิรงรอง จะกลายเป็นบรรทัดฐานเกี่ยวกับการกำกับดูแลในอนาคต

สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง คือ ข้อเท็จจริงในคดีที่ระบุว่า จำเลยปลอมแปลงเอกสาร ทั้งที่เอกสารดังกล่าวได้รับการรับรองจากคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าคำตัดสินในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณต่อจำเลย เช่น การยกฟ้องหรือให้รอลงอาญา แต่ผลกระทบของคดีนี้ต่อสังคมไทยได้เกิดขึ้นแล้ว และอาจยากที่จะย้อนกลับ

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ 1.ผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ คดีนี้อาจสร้างบรรทัดฐานที่เปิดช่องให้กลุ่มทุนใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือฟ้องร้องบุคคลที่เห็นต่าง โดยเฉพาะการฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทย ข้อมูลจากหนังสือ “เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ” ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นว่า กฎหมายสามารถถูกใช้เพื่อจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและขัดขวางการทำงานเพื่อสังคม

2.ผลกระทบต่อการทำงานของหน่วยงานรัฐ กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่รัฐอาจเผชิญหากการตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งขัดแย้งกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน ความกดดันทางกฎหมายอาจทำให้หน่วยงานรัฐต้องระมัดระวังมากขึ้น หรือแม้แต่หลีกเลี่ยงการตัดสินใจในประเด็นอ่อนไหว ซึ่งอาจส่งผลให้การทำงานของหน่วยงานรัฐขาดความเป็นอิสระ

3.ผลกระทบต่อหลักนิติรัฐและความเชื่อมั่นของประชาชน คดีนี้อาจสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะเมื่อจำเลยถูกตัดสินโดยไม่มีการให้เหตุผลที่ชัดเจนว่าเหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การหักล้างของจำเลย ทั้งที่เป็นคดีอาญา ซึ่งตามหลักการ หากพยานหลักฐานที่อีกฝ่ายอ้างยังมีข้อสงสัยในส่วนใดส่วนหนึ่งแม้แต่น้อย จะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (Beyond a Reasonable Doubt)

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าพิจารณาคือ วิธีพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งใช้ระบบไต่สวน (Inquisitorial System) แตกต่างจากศาลอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial System) ซึ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายโจทก์และจำเลยสามารถโต้แย้งกันได้อย่างเท่าเทียม เมื่อศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางของคดีมากขึ้น หากไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน ก็อาจนำไปสู่ข้อกังขาต่อการใช้ดุลพินิจ

นอกจากนี้ นายสมเกียรติยังตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักสูตรอบรมของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในการอบรมและพบปะกับผู้พิพากษา ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและความไม่โปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม

จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักกฎหมาย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน นายสมเกียรติเรียกร้องให้ผู้บริหารศาลยุติธรรมศึกษาคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อพิจารณาว่ามีจุดผิดปกติหรือไม่ และทำไมคดีนี้จึงได้รับเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง

“คดีของนางสาวพิรงรอง รามสูต อาจกลายเป็นคดีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าระบบยุติธรรมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ไม่เพียงแต่ในเรื่องความเป็นอิสระของศาล แต่ยังรวมถึงความสามารถของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม” นายสมเกียรติ กล่าว

นายสมเกียรติ ย้ำอีกว่า ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่ต้องทำให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมนั้นเกิดขึ้นจริง (Justice must not only be done, but must also be seen to be done) คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างสำคัญที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลในระยะยาว

Back to top button