บอร์ด กคพ. เคาะรับปม “ฮั้วเลือก สว.67” โยงฟอกเงิน เป็นคดีพิเศษ

“ภูมิธรรม” เผยผลประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ รับเรื่องร้องเรียน ฮั้วเลือก สว. ปี 2567 เป็นคดีพิเศษ ในข้อหาฟอกเงิน ย้ำไม่ได้เข้าไปยุ่งกับอำนาจ กกต.


วันนี้ (6 มี.ค.68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เปิดเผยผลการพิจารณาเรื่องสืบสวนที่ 157/2567 กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ปี 2567 ว่า การประชุมวันนี้ บอร์ด กคพ. ได้พิจารณาบนฐานข้อเท็จจริงกรณีที่มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์คำกล่าวหากับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ว่า มีการกระทำความผิดตามกฎหมายที่เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่

ดังนั้นวันนี้ บอร์ดฯ ไม่ได้พิจารณาเรื่องการเลือก สว. ใด ๆ ซึ่งบอร์ดฯ เห็นว่าการกระทำความผิดที่มีการมาร้องทุกข์ มีลักษณะเป็นการกระทำผิดฐานการฟอกเงินที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษ ตามกฎหมายสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายการได้มาซึ่ง สว. ที่ระบุไว้ว่า การใช้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้เลือกหรือไม่เลือกผู้สมัคร เป็นความผิดฐานฟอกเงินด้วย

“ทางบอร์ดฯ ขอย้ำว่าการพิจารณาคดีว่าเป็นคดีพิเศษครั้งนี้ ผ่านการพิจารณาของบอร์ดฯ ที่ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มาจากหลากหลายที่ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจจากคนใดคนหนึ่ง อันสะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง”

ประธานบอร์ด กคพ. กล่าวอีกว่า ทางบอร์ดฯ ขอย้ำว่าการพิจารณาในวันนี้ไม่ใช่การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ใด  ๆ ทาง กกต. ก็ทำงานในฐานะผู้ดูแลจัดการการเลือกตั้ง ส่วนทางบอร์ด กคพ. เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ดูแลเรื่องการดำเนินคดีอาญา เกี่ยวกับกลุ่มบุคคลที่จะกระทำความผิดตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นการทำงานคู่ขนานประสานงานร่วมมือกันแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายที่แตกต่างกันแต่มีเป้าหมายเดียวกันคือประชาชน

“เพราะต้องไม่ลืมว่าทางดีเอสไอเองได้รับการร้องทุกข์จากประชาชนผู้เสียหาย ครั้นจะนิ่งเฉยก็ไม่ได้เพราะจะกลายเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไปซึ่งผลเสียจะเกิดกับประชาชน”

การที่ทางดีเอสไอรับเรื่องนี้ไว้ไม่ได้หมายความว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิดทางกฎหมายแล้วแต่ต้องมีกระบวนการทางกฎหมายอีกมากมายในการที่จะบอกว่าผิดจริง ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ว่า ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่  ดังนั้นก็เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายทั้งหมด เพื่อประโยชน์ของผู้ถูกกล่าวหาด้วย และที่สำคัญคือเพื่อประโยชน์ของประชาชน เพราะต้องไม่ลืมว่าคดีนี้เป็นคดีมหาชน เราทำตรงนี้ก็เพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ในที่ประชุมมีองค์ประชุม 18 คน ได้มีมติชี้ขาดในกรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ ที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งวุฒิสมาชิก เมื่อ พ.ศ. 2567 ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอมา เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรค 1 แห่ง พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ส่วนคดีอาญาใดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวข้องกับคดีพิเศษดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรค 2 เพื่อทำการสอบสวนต่อไป

ทั้งนี้หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พบการกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 วรรค 1 อันอยู่ในอำนาจและหน้าที่ของสำนักงาน กกต. ให้แจ้ง กกต. ทราบเพื่อพิจารณาตามหน้าที่ และอำนาจต่อไป โดยไม่ต้องมีมติให้คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรค 1 วงเล็บ 2 แต่อย่างใด

“ที่ประชุม 18 เสียงได้พิจารณาเห็นชอบให้เป็นคดีพิเศษ 11 เสียง ไม่เห็นชอบให้เป็นคดีพิเศษ 4 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง ด้วยเหตุผลที่บางท่าน จะมีบทบาทเกี่ยวข้องในการที่จะชี้ขาดหลายเรื่องในคดีต่อไปของงดออกเสียง และได้มีมติรับรองผลการตัดสินข้างต้นแล้วเป็นเอกฉันท์ทั้งหมด” ประธานบอร์ด กคพ. ระบุ

นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้คณะกรรมการทุกท่านก็มีความมหนักใจ เพราะเป็นประเด็นที่เกี่ยวพันกับสถาบันนิติบัญญัติและเกี่ยวพันกับเรื่องที่สาธารณชนมีความคิดเห็นและก็จับตามองอยู่ ดังนั้นจึงกำชับในที่ประชุมว่าการพิจารณาเรื่องนี้จะใช้ดุลยพินิจให้ละเอียดและรอบคอบ โดยอิงข้อกฎหมายและข้อมูลต่าง ๆ และพยายามจะตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะว่าเรื่องนี้ได้เลื่อนไปในครั้งที่แล้วก็ได้เห็นว่าเราพยายามหาข้อยุติที่รอบคอบที่สุด

“เพราะฉะนั้นวันนี้ผมได้เรียนที่ประชุมว่าเราพิจารณาเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์บุคคล ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง เราพิจารณาตามข้อกฎหมายแท้ ๆ และสิ่งที่ต้องทำ เพราะว่า เราก็ทราบดีอยู่ว่าแต่ละท่านก็ต้องกังวลใจในเรื่องว่าถ้าเราทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรมันจะมีผล อันนี้เป็นความหนักใจที่ก็ไม่ได้มีปัญหาว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร เราเชื่อว่าเราได้ทำสิ่งที่รอบคอบมากที่สุดแล้วมีการพูดคุยกับทุกฝ่าย ข้อโต้แย้งอะไรต่าง ๆ มีการกลับไปทำถูกกระบวนการทั้งหมด ก็คิดว่าเราตัดสินใจไปแล้วก็รับผิดชอบ มันไม่มีปัญหาอะไร เราทำถูกต้องตามกฎหมายและตามกระบวนการทั้งหมด ผลออกมาอย่างไรก็อย่างนั้น และขณะนี้ยังเป็นแค่กระบวนการที่รับมาเพื่อจะสืบสวนสอบสวน ทั้งหมดก็จะไปอยู่ที่ศาลยุติธรรมเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายอยู่ดี เราไม่ใช่ผู้ชี้ขาดความถูกความผิด” ประธานบอร์ด กคพ. ระบุ

ด้าน นายชาติพงษ์ จีระพันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย อธิบายว่า มาตรา 21 การรับเป็นคดีพิเศษ ถ้ารับตาม “วงเล็บ 2” ต้องใช้มติ 2 ใน 3 คือ 15 คนจาก 22 คน แต่วันนี้รับตาม “วงเล็บ 1” โดยมาตรา 11 พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษให้ใช้ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ซึ่งให้นับเสียงข้างมากของที่ประชุม หมายความว่า ไม่ได้นับกรรมการทั้งหมด 22 คน แต่วันนี้มาประชุมกี่คนก็ใช้เสียงข้างมากตัดสิน โดยวันนี้องค์ประชุมมี 18 คน เสียงข้างมากคือ 11 เสียง

ขณะที่ พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลัง บอร์ด กคพ. มีมติดังกล่าวแล้ว ขั้นตอนต่อจากนี้ไปเหมือนเป็นหลักค้ำประกันให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ไปรับเรื่องเป็นคดีพิเศษ แต่ในคดีพิเศษนี้ขอให้พนักงานอัยการมาร่วมสอบสวนด้วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ อำนวยความยุติธรรม และเพื่อให้การปฏิบัติงานมีความโปร่งใส ทั้งนี้ดีเอสไอ จะตั้งคณะพนักงานสอบสวน และเข้าสู่กระบวนการสอบสวนต่อไป

Back to top button