
WHA วิ่ง 4% หลังล้มแผนสปินออฟ WHAID
WHA บวกแรง 4% รับข่าวประกาศยกเลิกแผนสปินออฟ WHAID เข้า ตลท. หลังบอร์ดวันที่ 21 ก.พ. 68 เพิ่งมีมติอนุมัตินำหุ้น WHAID มาเสนอขายไอพีโอทั้งหมด 970.51 ล้านหุ้น คิดเป็น 22.73% ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเก่า WHA และ WHAVH ถือรวมกัน 582.31 ล้านหุ้น คิดเป็น 13.64%
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (7 มี.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ณ เวลา 10:18 น. อยู่ที่ระดับ 3.66 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 3.98% สูงสุดที่ระดับ 3.74 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.62 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 339.82 ล้านบาท
สืบเนื่องมาจาก WHA เตรียมจัดประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณายกเลิกแผน Spin-off ของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAID เนื่องจากประเมินว่าภาวะตลาดหุ้นในปี 2568 ยังไม่เอื้ออำนวยมากนัก
ขณะที่ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2568 มีมติอนุมัติแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) และการนำหุ้นสามัญของ WHAID เข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 970,518,600 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 22.73% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID
โดยแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญ WHAID ดังกล่าว ประกอบด้วย 1.หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ WHAID ที่จะเสนอขายจำนวนไม่เกิน 388,207,422 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 9.09% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (ภายใต้สมมติฐานว่า WHAID สามารถขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้หมดทั้งจำนวน)
2.หุ้นสามัญเดิมของ WHAID จำนวนรวมกันไม่เกิน 582,311,178 หุ้น รวมคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 13.64% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (ภายใต้สมมติฐานว่า WHAID สามารถขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้หมดทั้งจำนวน) แบ่งเป็น หุ้นเดิมที่ถือโดย WHA จะเสนอขายจำนวนไม่เกิน 485,259,310 หุ้น และ WHA และบริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (WHAVH) (บริษัทย่อยที่ WHA ถือหุ้นทางตรงในสัดส่วน 99.99%) ถืออยู่ 97,051,868 หุ้น ตามลำดับ มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ตามลำดับ (ภายใต้สมมติฐานว่า WHAID สามารถขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้หมดทั้งจำนวน)
ทั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในกลุ่ม WHA ทุกกลุ่มธุรกิจ โดยแผนการนำ WHAID เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในการขยายธุรกิจได้ตามแผนงานที่วางไว้ ตลอดจนทำให้มีความสามารถในการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ หรือโอกาสในการลงทุนที่เหมาะสมเพิ่มเติมในอนาคต อีกทั้งเห็นถึงศักยภาพของ WHAID ในฐานะ Flagship ในการดำเนินธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของกลุ่ม ซึ่งมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมในประเทศไทยและในประเทศเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้น และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม WHA กล่าวว่า การแผน Spin-off หุ้น WHAID เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม และเป็นเรื่องที่ดีต่อบริษัท รวมทั้งผู้ถือหุ้น เนื่องจากธุรกิจมีการเติบโตที่ดีมาก และมีการขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม เป็นการกระจายความสี่ยงที่ดี และยังส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และปัจจุบันอยู่ระหว่างมองหาประเทศใหม่เพิ่มเติม แน่นอนว่าการเติบโตต้องใช้เงินทุน และเป็นที่มาของการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จากเดิมที่ใช้ยุทธวิธีออกตราสารหนี้ (Bond) กระจายสู่ทุกกลุ่มธุรกิจ
สำหรับรายละเอียด Spin-off WHAID จะมีการปรับมูลค่าที่ตราไว้เป็น 1 บาทต่อหุ้น เปลี่ยนแปลงจากเดิม 0.40 บาทต่อหุ้น ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และการเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 388,207,422 หุ้น มีขนาดของการเสนอขาย IPO คิดเป็น 22.73% ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งมีหุ้นเดิมที่เสนอขาย 13.64% แบ่งเป็น 11.36% จาก WHA และ 2.27% จาก WHAVH ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ WHA หุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขาย 9.99% และหลัง IPO ทาง WHA ยังคงถือหุ้นใน WHAID ไม่น้อยกว่า 75.95% จากเดิม 98.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
โดยก่อนหน้านี้ การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น WHA กว่า 20% เมื่อวันที่ (24 ก.พ.68) เป็นผลจากแรงขายเชิง Panic Sell แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากกระแสข่าวผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ที่ต่ำกว่าคาด หรือความกังวลเกี่ยวกับแผน Spin-off ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของ WHAID เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET)
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการบริหาร WHA กล่าวอีกว่า ผลประกอบการปี 2567 แข็งแกร่ง แต่ว่ารายได้ไตรมาส 4 ชะลอตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมูลค่าการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน WHAIR ต่ำกว่าปีก่อน และมีการรับรู้ขาดทุนจากโรงไฟฟ้า เก็คโค่-วัน แต่ กำไรปกติทั้งปี 2567 อยู่ที่ 4,526 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่ (New Record High)
สำหรับในปี 2567 บริษัทชะลอการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน WHART เนื่องจากภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม การขายสินทรัพย์เข้ากองทุน WHAIR ในช่วงปลายปีช่วยให้ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 61.9% จาก 26.4% ในปี 2566 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจที่ดินอยู่ที่ 61.0% เพิ่มขึ้นจาก 54.9% หลังจากมีการปรับราคาขายที่ดินในประเทศให้สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทมี ยอดขายรอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 1,535 ไร่ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2568 นอกจากนี้ ได้เซ็นสัญญาขายที่ดินให้ลูกค้ารายใหญ่กว่า 1,000 ไร่ โดยรับรู้รายได้ไปแล้ว 500 ไร่ ในปี 2567 และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ภายในไตรมาส 1-2/2568 อีกทั้งในปี 2567 บริษัทมี EBITDA Margin อยู่ที่ 58% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 40% และดีกว่าปี 2566 (เรียบเรียงให้เป็นทางการ อ่านเข้าใจล่าย
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้ ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึง WHA รายงานกำไรปกติไตรมาส 4/67 ที่ 1,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 55% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาด 20% จากรายได้การโอนที่ดิน และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจนิคมฯ และธุรกิจโรงไฟฟ้าทำได้น้อยกว่าประเมินการณ์
ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรปกติของ WHA ในปี 2568 ลง 10% อยู่ที่ 4,908 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงสะท้อนการเติบโต 14% จากปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจาก Backlog กว่า 1,500 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงการรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin: GPM) ของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และการเติบโตของธุรกิจสาธารณูปโภค ตามจำนวนลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น
แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 1/2568 อาจยังไม่โดดเด่น แต่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง 16% ตั้งแต่ต้นปี ได้สะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว ปัจจุบัน WHA ซื้อขายที่ระดับ P/E ปี 2568 เพียง 14.0 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และคาดการณ์กำไรปกติครึ่งหลังปี 68 เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนและปี 2568 ทำ New High จึง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 5.65 บาท