
ธุรกิจความสวยงามแข่งฝุ่นตลบ
ตลาดความสวยความงามของไทยเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มว่าจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
เส้นทางนักลงทุน
ตลาดความสวยความงามของไทยเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มว่าจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าการแข่งในธุรกิจนี้ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ ในปี 2568 มุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่ามูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท โตขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะจำนวนการใช้บริการ รวมถึงอัตราค่ารักษาและบริการเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีด้วยภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อและการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง ส่งผลให้อัตราการเติบโตในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน ไม่ได้เร่งตัวเช่นในอดีต
- สูงวัย/เพศทางเลือก/ผู้ชาย กลุ่มเป้าหมาย
การทำศัลยกรรมในไทยกว่า 79% เป็นแบบผ่าตัด และเทรนด์ศัลยกรรมและเสริมความงามส่วนใหญ่ยังนิยมทำช่วงบริเวณใบหน้ามากที่สุด ขณะที่ฐานผู้ใช้บริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีกลุ่มลูกค้าศักยภาพใหม่ ได้แก่ กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQIA+) กลุ่ม GenZ และผู้ชาย ซึ่งจะเป็นฐานผู้ใช้บริการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โอกาสของธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยยังได้รับแรงหนุนจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและการเพิ่มขึ้นของลูกค้า Medical Tourism ในไทย แต่การแข่งขันจะรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งจากคู่แข่งในประเทศและความนิยมออกไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศ
- แข่งขันเดือดกดกำไร/รายได้
หากมองผลตอบแทนจากกำไรสุทธิต่อรายได้รวม (Net Profit Margin : NPM) ของธุรกิจ จะพบว่าค่าเฉลี่ยในช่วงหลังโควิด-19 (ปี 2564-2566) อยู่ที่ 2.3% ลดลงจากช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2560-2562) ที่ 2.7% สะท้อนว่าแม้มูลค่าตลาดจะยังโต แต่ก็ต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากจำนวนผู้เล่นมากราย โดยเฉพาะกับรายใหญ่ที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง ความพร้อมด้านการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งปัจจุบันมูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามกว่า 85% จะมาจากกลุ่มคลินิก แต่มีแนวโน้มลดลงจากการแข่งขันรุนแรง
ปี 2568 คาดว่าสัดส่วนมูลค่าตลาดของกลุ่มคลินิกจะอยู่ที่ 85% ลดลงจากปี 2564 ที่ 90% โดยเป็นผลมาจากการแข่งขันด้านราคารุนแรง ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15% จากจำนวนลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น รวมถึงจุดแข็งด้านมาตรฐานการรักษาและความมีชื่อเสียงของศัลยแพทย์ การทำศัลยกรรมและเสริมความงามในไทยส่วนใหญ่เป็นแบบผ่าตัด คิดเป็นสัดส่วน 79% ของจำนวนการใช้บริการ ส่วนอีก 21% เป็นแบบไม่ผ่าตัด
ปัจจุบันคนรุ่นใหม่เปิดกว้างและกล้าทำศัลยกรรมมากขึ้น สะท้อนจากปี 2566 สัดส่วนการทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดอยู่ที่ 79% เพิ่มขึ้นจาก 75% ในปี 2562 ส่วนหนึ่งมาจากเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย มีความปลอดภัย และใช้เวลาฟื้นตัวน้อยลง
ทั้งนี้ การทำศัลยกรรมและเสริมความงามแบบผ่าตัดในไทย ส่วนใหญ่นิยมทำตา จมูก และหน้าอก ขณะที่แบบไม่ผ่าตัดจะนิยมฉีดโบทูลินัมท็อกซิน (โบท็อกซ์) ไฮยาลูรอน และยกกระชับใบหน้าและลำคอ
การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุหนุนความต้องการศัลยกรรมและเสริมความงามที่ช่วยชะลอวัย โดยภายในปี 2571 ไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุราว 14 ล้านคน 22% ของประชากรกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีรายได้สูง อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล สะท้อนว่าน่าจะเป็นลูกค้าศักยภาพ และมีความเต็มใจจ่ายสูงให้กับเทคโนโลยีการรักษาที่ช่วยชะลอวัย อาทิ ศัลยกรรมดึงหน้า ทำหน้าอก ดูดไขมัน ลดริ้วรอย เป็นต้น
ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหนุนการเติบโตของจำนวนลูกค้าต่างชาติสอดคล้องกับจำนวนลูกค้า Medical Tourism ของไทย ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% ทั้งนี้ศัลยกรรมความงามอยู่ในกลุ่มบริการทางการแพทย์ที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ามาใช้บริการในไทยมากเป็นอันดับ 2 มีลูกค้าหลักคือ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น ขณะที่ลูกค้าอาเซียนจะเป็นลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามารับบริการเพิ่ม สอดรับไปกับแผนการตลาดของผู้ประกอบการที่จะเจาะตลาดลูกค้า CLMV+1 ให้ได้มากขึ้น
- เผชิญความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยมีความเสี่ยงจากบุคลากรทางการแพทย์มีจำกัด โดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่ง ซึ่งในไทยมีเพียง 500 ราย เมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่างเกาหลีใต้ ซึ่งมีอยู่ 2,739 ราย ทำให้อัตราการแข่งขันเพื่อแย่งบุคลากรทางการแพทย์สูง และส่งผลทำให้ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้น เช่น ในกรณีของศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าในไทยที่มีเพียง 100 คน
ธุรกิจนี้ยังแข่งขันรุนแรง ท่ามกลางปัจจัยเฉพาะหน้าด้านภาวะเศรษฐกิจกดดันต่อการทำรายได้และขยายฐานลูกค้า ทั้งคู่แข่งในประเทศกว่า 2,500 ราย และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคลินิกขนาดเล็ก และคู่แข่งต่างชาติที่เข้ามาลงทุนเปิดสาขาให้บริการทำศัลยกรรมในไทยหรือส่งตัวลูกค้าไปรับบริการในต่างประเทศ ยังคงได้รับความนิยมจากคนไทย โดยเฉพาะการไปรับบริการในเกาหลีใต้
ธุรกิจต้องลงทุนในเทคโนโลยีหรือเครื่องมือในการรักษาใหม่ ๆ ตามเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้ส่วนหนึ่งจะจูงใจให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ แต่หากลูกค้ามาใช้บริการน้อยหรือไม่สม่ำเสมอ อาจกระทบต่อการบริหารจัดการต้นทุนและกำไรของธุรกิจได้ โดยเฉพาะธุรกิจที่จับลูกค้ากลุ่มรายได้ปานกลางลงมา ซึ่งมักจะเปรียบเทียบความคุ้มค่าด้านราคา
ในปี 2568 ตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยถึงแม้จะยังคงเติบโตได้ แต่การทำธุรกิจคงจะไม่ง่าย และยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันแบบฝุ่นตลบแน่นอน