ส่อง 10 หุ้น “อสังหาริมทรัพย์” กำไรปี 67 แกร่ง! ลุ้นรัฐผ่อนปลน LTV กระตุ้นกำลังซื้อ

เปิดงบ 10 หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ PLAT, SA, MBK, BLAND, ASW, AWC, ESTAR, CPN, SPALI และ GLAND รายงานกำไรปี 67 เติบโตแกร่ง พบ PLAT โตสุด 130% รับรายได้เช่าพื้นที่ บริการพุ่ง ฟากโบรกแนะจับตา “คลัง-ธปท.” ผ่อนปรนมาตรการ LTV คาดช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจไทย


ปี 2567 ที่ผ่านมาทิศทางอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ ประเทศไทยนับว่า ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งมีโครงการเปิดตัวประมาณ 70,000 หน่วย รวมมูลค่า 400,000 ล้านบาท ลดลง 30% ในแง่จำนวนหน่วย และ 10% ในแง่มูลค่าเมื่อเทียบกับปี 2566 ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 191 โครงการ รวม 33,461 หน่วย มูลค่ารวม 211,516 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วย 6.32 ล้านบาท แม้ภาพรวมตลาดจะชะลอตัว แต่ยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าตลาดไม่ได้ซบเซาหนักอย่างที่กังวล

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ที่ประกาศผลการดำเนินงานงวด ปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ออกมาสามารถทำกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น จากปีก่อน ทั้งนี้ พบว่ามีจำนวน 10 บริษัท อาทิ PLAT, SA, MBK, BLAND, ASW, AWC, ESTAR, CPN, SPALI และ GLAND ซึ่งมีปัจจัยที่สนับสนุนให้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ดังต่อไปนี้

1.บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PLAT รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 408.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130.24% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 177.62 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก รายได้รวมอยู่ที่ 2,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% หลังการเพิ่มขึ้นของอัตราการเช่าและอัตราเฉลี่ยค่าเช่า ค่าบริการ ของศูนย์การค้า เดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์ รวมถึงรายได้การเข้าพัก การใช้บริการห้องอาหาร และห้องประชุม จากโรงแรม โนโวเทล แพลทินัม ประตูน้ำ และ โรงแรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ สมุย และโรงแรม ม็อกซี่ แบงคอก ราชประสงค์ ซึ่งเปิดทำการเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567

2.บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 386.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.11% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 193.06 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ขายอสังหาริมทรัพย์และสินค้า 4,105.01 ล้านบาท รายได้จากการประกอบธุรกิจโรงแรม 406.84 ล้านบาท รายได้จากการบริการ 58.20 ล้านบาท และรายได้อื่น 175.51 ล้านบาท ส่งผลทำให้มีกำไรสุทธิ 411.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.47% จากปีก่อน โดยเป็นกำไรจากส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 386.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.11% เทียบปีที่ผ่าน

3.บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) หรือ MBK รายงานผลการดำเนินงานปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,685.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.38% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1567.12 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้รวม 11,278 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน โดยธุรกิจศูนย์การค้าและโรงแรมและการท่องเที่ยว เป็นดาวเด่น สร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึง 26% จากการปรับปรุงพื้นที่, ดึงดูดผู้เช่าใหม่, และการเปิดโรงแรมใหม่ (โรงแรมทินิตี เทรนดิ กรุงเทพ ข้าวสาร)

4.บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BLAND บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,685.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.38% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1567.12 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากการขาย อยู่ที่ 622 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.4% จากปีก่อน และ มีรายได้ค่าเช่าและค่าบริการเพิ่มขึ้น 103 ล้านบาท และมีรายได้จากค่าเช่า บริการ 3,493 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.9% จากปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขาย 62 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 2 ล้านบาท

5.บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,456.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.38% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1567.12 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก จากโครงการ เคฟ ทาวน์ ไอส์แลนด์ (Kave Town Island) มูลค่า 3,500 ล้านบาท และเดอะ ไทเทิล ฮาโล 1 (THE TITLE HALO 1) มูลค่า 1,537 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแรกที่สามารถโอนกรรมสิทธิ์และทยอยรับรู้รายได้ หลัง ASW เข้าถือหุ้นในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE

6.บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1456.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.37% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1092.22 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้รวม อยู่ที่ 21,011 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5 จากปีก่อน โดยการเติบโตมาจากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการที่มีจำนวนผู้เข้าพักและใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าก็มีลูกค้าเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

7.บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 34.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.96% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 29.93 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 586.77 ล้านบาท หรือ 50%

8.บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,6729.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.07% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 15061.62 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก รายได้รวม 51,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน อีกทั้งมีรายได้ค่าเช่าและบริการในศูนย์การค้าเดิมเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายร้านค้าเพิ่มขึ้นจากกลยุทธ์ holistic partnership solution การจัดกิจกรรมทางการตลาดในศูนย์การค้า

9.บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,189.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.34% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,989.43 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้รวมอยู่ที่ 31,985 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจากการเปิดตัวโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมที่เจาะกลุ่มลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ ครอบคลุมทุกพื้นที่โดยทำเลยอดนิยมที่สร้างยอดขายได้ทะยานสูงเป็นลำดับต้นๆ คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภูเก็ต ชลบุรี และเชียงใหม่ ตลอดจน 5 คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมส่งมอบ รวมมูลค่ากว่า 16,230 ล้านบาท ยังทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง

10.บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 420.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.72% จากปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 417.97 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้รวมอยู่ที่ 1,747 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนหน้า ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักธุรกิจให้เช่า บริการ พื้นที่ค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ ทิศทางการเติบโตของกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ ยังคงมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เข้ามาสนับสนุนผลงานให้สามารถเติบโตได้ในอนาคต ซึ่งในปีนี้ ทาง รมว.คลัง รับที่จะไปหารือกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับการปลดล็อกนโยบาย ผ่อนคลายเกณฑ์อัตราส่วนการให้สินเชื่อซื้อบ้านโดยเทียบกับมูลค่า (Loan to Value :LTV) ซึ่งหากสามารถทำได้ควบคู่กันทั้งนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ก็จะช่วยสร้างพลังการขับเคลื่อนให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี

ด้าน นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษก ธปท. เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าที่ประชุมมีการพิจารณา LTV โดยอยู่ระหว่างนำข้อมูลต่าง ๆ มาประกอบพิจารณา

ธปท. มองว่า การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV อาจช่วยกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ได้ในบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้สูงและมีศักยภาพในการกู้ แต่ไม่เหมาะกับกลุ่มเปราะบาง ซึ่ง LTV อาจเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้หลังจากการอนุมัติสินเชื่อแล้ว แต่ยังต้องพิจารณาว่าจะมีผลกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จริงหรือไม่

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ มีมองเป็นบวกจากข่าวดังกล่าว โดยมีโอกาสเป็นไปได้มากขึ้นที่ ธปท. จะทบทวนเกณฑ์ LTV ให้ผ่อนคลายมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่มีท่าทีไม่ต้องการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวคาดว่าจะต้องมีการพิจารณาหลายเดือนและยังมีความกังวลต่อหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังสูง

ทั้งนี้ หากมีการผ่อนคลายมาตรการ LTV จะเป็นผลดีต่อ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการซื้อให้กับลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นการช่วยระบายสต็อกที่อยู่อาศัยได้เร็วขึ้น และส่งผลให้ภาพรวมกลุ่มที่อยู่อาศัยมีการฟื้นตัวได้ดีขึ้น

สำหรับหุ้นที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าจะได้ประโยชน์มากสุด คือ ORI SIRI และ SPALI ที่มี Backlog รอโอนและยังมี inventory ค่อนข้างมาก

ขณะที่ PSH และ LPN ที่เน้นตลาดล่างจะเป็นบวกน้อยกว่าเนื่องยังเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ สำหรับเกณฑ์ LTV ปัจจุบัน คือ 1.) ที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท – สัญญาที่ 1 LTV 100% (คงเดิม), สัญญาที่ 2 LTV ที่ 80%-90% ส่วนสัญญาที่ 3 เป็นต้นไป LTV ที่ 70%2) ที่อยู่อาศัยที่ราคาเกิน 10 ล้านบาท – สัญญาที่ 1 LTV ที่ 90%, สัญญาที่ 2LTV ที่ 80% และสัญญาที่ 3 เป็นต้นไป LTV ที่ 70%

Back to top button