
DELTA ร่วง 5% โบรกหั่นเป้าเหลือ 50 บ. ชี้มูลค่าหุ้นสูงเกินพื้นฐาน เสี่ยงเจอ “เทรดวอร์”
DELTA ร่วง 5% โบรกหั่นราคาเป้าหมายเหลือ 50 บาท กังวลสหรัฐฯ อาจเก็บภาษีศุลกากรสินค้าไทยกระทบผลงาน และถูกลดน้ำหนักดัชนี SET ขณะที่มูลค่าหุ้นสูงกว่าปัจจัยพื้นฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (10 มี.ค.68) ราคาหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ณ เวลา 11:22 น อยู่ที่ระดับ 77.25 บาท ลบ 4.00 บาท หรือ 7.92% สูงสุดที่ระดับ 80.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 76.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 799.40 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึง DELTA คาดการณ์ว่าช่วงเวลาการเติบโตที่โดดเด่นของบริษัทได้ผ่านพ้นไปแล้ว และประเมินว่าผลประโยชน์จากนโยบายการค้าภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะน้อยกว่าช่วงสมัยแรก อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังสูงเกินมูลค่าพื้นฐานเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งทั่วโลกและบริษัทแม่ที่ไต้หวัน
ทั้งนี้ DELTA ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Delta Taiwan เป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้าชั้นนำของโลก โดยมีช่วงการเติบโตที่โดดเด่นจากปี 2562 ถึง 2567 ซึ่งได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ Delta Taiwan พยายามลดความเสี่ยงจากมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Delta Thailand เป็น 63.78% ในเดือนเมษายน 2562 และโยกฐานการผลิตมายังประเทศไทยเพื่อลดต้นทุนจากภาษีนำเข้า
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของการเติบโตสูงสุดนี้กำลังจะจบลง ซึ่งอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรต่อหุ้น (CAGR) ของ DELTA คาดว่าจะลดลงจาก 44% ในช่วงปี 2563-2567 มาอยู่ที่เพียง 10% ในช่วงปี 2567-2572 นอกจากนี้ การบังคับใช้ภาษีขั้นต่ำระดับโลก (GMT) ในปี 2568 คาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราภาษีที่แท้จริงของบริษัท ทำให้อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นลดลงเหลือ 2% ในปี 2567
แม้ว่านโยบายการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจยังให้ประโยชน์กับ DELTA อยู่บ้าง แต่ผลกระทบดังกล่าวน่าจะน้อยกว่าสมัยแรก เนื่องจาก Delta Taiwan ได้จัดตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่ไทยอาจถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน การย้ายฐานการผลิตจากไต้หวันมายังไทยก็คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อน และการเร่งใช้ระบบอัตโนมัติในการผลิตอาจลดข้อได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานของไทย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้นของ DELTA ได้แก่ ความต้องการผลิตภัณฑ์ประเภทไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ที่สูงกว่าคาดการณ์ อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น และการย้ายฐานการผลิตจากไต้หวันเข้ามาเพิ่มเติม
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันราคาหุ้น ได้แก่ การที่สหรัฐฯ อาจเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าไทย การถูกลดน้ำหนักในดัชนี SET Index และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคำสั่งซื้อของบริษัท ดังนั้น ฝ่ายนักวิเคราะห์จึงให้คำแนะนำ “Underperform” พร้อมราคาเป้าหมายที่ 50 บาท ซึ่งสะท้อนจากการใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) และการประเมินมูลค่าตามค่าเฉลี่ยของ P/E