CGSI หั่นประมาณการ EPS ตลาดหุ้น 2% พร้อมคงเป้า SET ปีนี้ 1,380 จุด

CGSI ปรับลดประมาณการ EPS ตลาดหุ้นไทยลง 2% พร้อมคงเป้า SET สิ้นปีที่ 1,380 จุด สะท้อนระดับ P/E 14 เท่าในปี 69 หรือ -2SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา


ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เปิดเผยบทวิเคราะห์ล่าสุด ระบุว่าบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในขอบเขตการศึกษาของฝ่ายวิเคราะห์ฯ มีกำไรสุทธิรวมในไตรมาส 4/67 เติบโต 23% เมื่อเทียบรายปี (YoY) และเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบรายไตรมาส (QoQ) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเติบโตสูงสุด ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น, กลุ่มอาหาร, กลุ่มโรงแรม, กลุ่มโทรคมนาคม และกลุ่มขนส่ง

ขณะที่กลุ่มที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นต่ำสุด ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, กลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มบรรจุภัณฑ์, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิรวมของบริษัทที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ทำการศึกษาตลอดปี 2567 ลดลง 2% จากปีก่อน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เนื่องจากอัตราการขยายตัวของ GDP ไทยในปี 2567 อยู่ที่ 2.5%

ทั้งนี้ จากผลประกอบการไตรมาส 4/67 ของบริษัทจดทะเบียน พบว่า 16% ของบริษัทสามารถทำกำไรได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ 27% ทำกำไรต่ำกว่าคาด และ 57% ทำกำไรสอดคล้องกับประมาณการ ซึ่งนำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดลง 2% สำหรับปี 2568 และ 1.6% สำหรับปี 2569 ส่งผลให้คาดการณ์ EPS ตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 91.5 บาทในปี 2568 (+16% จากปีก่อน) และ 98.7 บาทในปี 2569 (+8% จากปีก่อน) เทียบกับ 78.7 บาทในปี 2567

ส่วนของปัจจัยทางการเมือง ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ระบุว่า เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะมีแนวโน้มรอดพ้นจากการอภิปรายครั้งนี้ แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะจากความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล กับพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลลำดับสอง ซึ่งอาจส่งผลให้การอนุมัติโครงการสำคัญ เช่น พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ล่าช้าออกไป

ด้วยปัจจัยกดดันทั้งในและต่างประเทศ CGSI ยังคงเป้าหมายดัชนี SET ณ สิ้นปี 2568 ไว้ที่ 1,380 จุด ซึ่งสะท้อนระดับ P/E 14 เท่าในปี 2569 หรือ -2SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา พร้อมแนะนำให้เน้นการลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง และหุ้นในกลุ่มปลอดภัย (Defensive stocks) นอกจากนี้ คาดว่าหุ้นที่เผชิญแรงขายรุนแรงในช่วงก่อนหน้านี้ อาจฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหาก sentiment ตลาดกลับมาเป็นบวก

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำดังกล่าวอาจเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยลบเพิ่มเติม เช่น ความตึงเครียดทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น และการที่สหรัฐฯ อาจปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ในขณะที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 อาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้น โดยหุ้นเด่นที่แนะนำ (Top Pick) ได้แก่ BH, CBG, CPALL, CPN, HANA, KTB, MINT, MTC, PTTEP, SCB, PR9 และ SIRI

Back to top button