
จาก ThaiESG Extra ก้าวสู่ TISA
หลังโหมโรงกันมาร่วมเดือน ว่าด้วยเรื่องกองทุน ThaiESG Extra ที่จะมาซึมซับรับแรงขาย จากกองทุนระยะยาวเพื่อการลดหย่อนภาษี (LTF) ที่ครบกำหนดไถ่ถอน
หลังโหมโรงกันมาร่วมเดือน ว่าด้วยเรื่องกองทุน ThaiESG Extra ที่จะมาซึมซับรับแรงขาย จากกองทุนระยะยาวเพื่อการลดหย่อนภาษี (LTF) ที่ครบกำหนดไถ่ถอน จนเกิดแรงขายต่อเนื่อง นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา..!!
ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบจัดตั้งกองทุน ThaiESG Extra และเปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. 68 ด้วยการเปิดรับเม็ดเงินจาก 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 เม็ดเงินจากกองทุนระยะยาวเพื่อการลดหย่อนภาษี (LTF) ที่ครบกำหนดไถ่ถอนที่เหลืออยู่ประมาณ 180,000 ล้านบาท ให้มีทางเลือกโอนเข้ามาลงทุนต่อได้ จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุน 500,000 บาท โดยปีแรกได้ 300,000 บาท ส่วนอีก 200,000 บาท ทยอยใช้สิทธิได้ปีละไม่เกิน 50,000 บาท ตลอดช่วง 4 ปี
ส่วนที่ 2 จะเปิดให้เติมเม็ดเงินใหม่เข้ามาด้วย โดยจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 300,000 บาท
ประเด็นดังกล่าว ถือว่าเป็นบวกต่อหุ้นที่มี ESG Rating สูง..แต่ราคาปรับตัวมาลึกสุดใจ อย่างหุ้น CPALL-HMPRO-BDMS-BH-MINT-GPSC-SCGP-BBL-KBANK-AOT น่าจะมีโอกาสรีบาวด์ได้อย่างชัดเจน..!!
อีกหนึ่งเรื่องสด ๆ ร้อน ๆ ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งโต๊ะแถลงเรียกความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย ด้วย 4 โครงการหลัก
1)โครงการ Jump+ มีเป้าหมายในการปลดล็อกศักยภาพบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แต่ยังมีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (Undervalued) โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะให้คำปรึกษาเพื่อช่วยให้บริษัทเหล่านี้สามารถพัฒนาแผนธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมมาตรการจูงใจด้านภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือการยกเว้นภาษีเงินปันผลสำหรับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
2)โครงการ New S-Curve Economy มีเป้าหมายในการดึงดูดบริษัทจากอุตสาหกรรมแห่งอนาคตให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจด้านสุขภาพ, เทคโนโลยี และดิจิทัล ซึ่งถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยจะเปิดให้ทั้งบริษัทไทยและบริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนได้ง่ายขึ้น
3)โครงการ Treasury Stock Buyback โดยจะมีการผ่อนคลายกฎเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับ “การซื้อหุ้นคืน” ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อปลดล็อกหรือยกเลิกทุกข้อจำกัดเดิม เช่น เพดานซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10%, ต้องขายหุ้นที่ซื้อคืนภายใน 3 ปี และต้องรอให้โครงการเดิมจบไปก่อน 6 เดือน จึงจะสามารถซื้อหุ้นคืนได้อีก ซึ่งจะช่วยให้บริษัทที่มีเงินในมือสามารถบริหารสภาพคล่องได้ดีขึ้น
4)โครงการ TISA (Thailand Individual Saving Account) หรือการออมเพื่อซื้อหุ้นไทย มีเป้าหมายในการส่งเสริมการลงทุนระยะยาว และสร้างวินัยในการออมหุ้น เพื่อเพิ่มฐานนักลงทุนระยะยาวในประเทศ โครงการนี้จะมีการยกเว้นภาษีสำหรับเงินลงทุนที่ถือครองหุ้นระยะยาว คล้ายแนวคิดของ Nippon Individual Savings Account (NISA) ของประเทศญี่ปุ่น
สำหรับ NISA (Nippon Individual Savings Account) เป็นบัญชีออมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่รัฐบาลญี่ปุ่นจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน โดยให้ สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับกำไรจากการลงทุนและเงินปันผล แยกเป็น 3 ประเภท
1)General NISA สำหรับลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และตราสารหนี้ โดย กำไรและเงินปันผลได้รับการยกเว้นภาษี ภายในวงเงินที่กำหนด
2)Tsumitate NISA สำหรับลงทุนในกองทุนรวมที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาล เน้นการลงทุนระยะยาวแบบทยอยซื้อ
3)Junior NISA สำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี มีลักษณะคล้าย General NISA แต่มีข้อจำกัดในการถอนเงิน
ทว่า..นับตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ญี่ปุ่นได้ปรับปรุงระบบ NISA ใหม่ ให้ไม่ต้องมีข้อจำกัดด้านเวลาและเพิ่มวงเงินลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้กลายเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
มาถึงวันนี้..สภาพหุ้นไทย “ต้องการแรงกระตุ้นทุกท่า” ไม่ว่าจะท่ายากท่าง่าย..ออกมาให้เร็วเถอะ..ประเดี๋ยวตลาดหุ้นไทยจะ (วอด) วายไปซะก่อน..!!
เล็กเซียวหงส์