ตลท.ย้ำ “กัลฟ์” ควบ “อินทัช” ฉลุยเกณฑ์ ESG เรตติ้งคงเดิม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ย้ำ “กัลฟ์” ควบรวม “อินทัช” ผ่านฉลุย ESG Rating คงเดิม กองทุน Thai ESG Extra ลงทุนได้ต่อเนื่องในบริษัทใหม่ (NewCo)


นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีกลุ่มหุ้นที่ได้รับ ESG Rating อยู่จำนวน 228 หุ้น แบ่งเป็น เรตติ้ง AAA จำนวน 56 บริษัท, เรตติ้ง AA จำนวน 80 บริษัท, เรตติ้ง A จำนวน 71 บริษัท และเรตติ้ง BBB จำนวน 21 บริษัท นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่เปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก (Non-Rating) อีกจำนวน 14 บริษัท

“หุ้นที่ได้รับ ESG Rating คิดเป็นจำนวนประมาณ 70-80% ของทั้งตลาดฯ ซึ่งค่อนข้างที่จะครอบคลุม ยังไม่รวมกับหุ้นที่เปิดเผยก๊าซเรือนกระจกอีก เช่น TRUE, ERW, และ BCP” นายอัสสเดช กล่าว

ส่วนประเด็นที่อยู่ในความสนในของนักลงทุน คือ กรณีบริษัทจดทะเบียนที่มีการควบรวมกิจการกันนั้น จะพิจาณณาเรื่องเรตติ้งกันอย่างไร โดยในส่วนนี้ทางตลาดฯ มีผู้ทรงคุณวุฒิคอยดูแลอยู่แล้ว พร้อมกับยกตัวอย่างกรณีการควบรวมกิจการของ “บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)” หรือ GULF และ “บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)” หรือ INTUCH ซึ่งทั้งสองบริษัท ต่างมี ESG Rating อยู่แล้ว

โดยกัลฟ์ฯ มีเรตติ้งอยู่ที่ AAA และ อินทัชฯ เรตติ้งที่ AA จะสามารถนำเรตติ้งที่ได้รับอยู่ไปใช้ต่อเนื่องยังบริษัทใหม่(NewCo) หรือ “บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)” ได้ต่อเนื่อง ดังนั้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)  ที่โยกไปยัง TESGX  จึงยังสามารถลงทุนได้ต่อเนื่อง หรือ TESGX ใหม่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นก็สามารถลงทุนได้เช่นกัน

สำหรับการควบรวมกิจการกัน เราจะดูว่าโครงสร้างปรับเปลี่ยนอย่างไร มากน้อยแค่ไหน ซึ่งในกรณีของกัลฟ์ฯ กับอินทัชนั้น คือ กัลฟ์ฯ ถือหุ้นในอินทัชมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น โครงสร้างธุรกิจจึงไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร เป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว จึงไม่มีนัยสำคัญต่อ ESG Rating

นายอัสสเดช กล่าวอ้างอิงข้อมูลจาก นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีปัยหาอะไร ส่วนตลาดหุ้นที่ปรับลดลงในขณะนี้น่าจะมีดาวน์ไซด์หรือความเสี่ยงขาลงที่ค่อนข้างจำกัดแล้ว จึงอยากจะให้นักลงทุนใจเย็นๆ

ขณะที่นางชวินดา เผยว่า กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (THAI ESG EXTRA หรือ TESGX) คาดจะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ในช่วงที่ Thai ESGX เปิดให้ลงทุนช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ ส่วนเม็ดเงินที่ย้ายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เดิม ยังคาดหวังให้มูลค่าเม็ดเงินย้ายเข้ามาให้มากที่สุด โดยปัจจุบันวงเงินมูลค่าคงค้าง LTF อยู่ระดับต่ำกว่า 180,000 ล้านบาท จากภาวะตลาดที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบัน

“การประมาณการเม็ดเงินใหม่ 30,000 ล้านบาท เป็นการคาดการณ์จากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งแท้จริงแล้วอาจจะได้มากหรือน้อยกว่า แต่เป็นสถิติของ Thai ESG ที่ผ่านมา และกองทุน TESGX ถือว่าเป็นกองทุนที่ชัดเจนในการลงทุนในหุ้น 65% ซึ่งขึ้นกับนักลงทุนแล้วว่าสนใจมากน้อยแค่ไหน ส่วนเม็ดเงินที่โยกมาจาก LTF เดิม คาดหวังว่าจะย้ายมาให้เยอะที่สุด” นางชวินดา กล่าว

ส่วนกระบวนการจัดตั้งกองทุนใหม่อย่าง TESGX ฝั่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) จะต้องยื่นไฟลิ่งกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อจัดตั้งกองทุนดังกล่าว ซึ่งแต่ละบลจ.อาจจัดตั้งกองทุน TESGX หลายกอง แต่จากนโยบายเดียวคือลงทุนหุ้นไทยสัดส่วน 65% คาดจะมีจำนวนกองที่น้อยลง และกระบวนจัดตั้งน่าจะแล้วเสร็จและนักลงทุนสามารถทราบชื่อได้ตั้งแต่ช่วงเม.ย. 2568 และเริ่มเปิดขายได้ในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. 2568

ทั้งนี้ การตั้งกองทุนใหม่ TESGX มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาในอุตสาหกรรม ถือว่าสร้างสภาพคล่องใหม่ให้กับการลงทุนในตลาดทุนไทยแล้ว ด้านนโยบายสิทธิประโยชน์เพื่อกองทุน LTF สามารถโอนเข้ามาใน TESGX สามารถหยุดแรงกดดันเรื่องการขาย ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ 2 ส่วน และเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม

นางชวินดา ยังกล่าวในฐานะที่ KTAM เป้นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ด้วยว่า กลยุทธ์วายุภักษ์ยังเหลือเงินลงทุนอีกหลายหมื่นล้านบาท และเงินจากปันผลเข้ามา ดังนั้น เงินที่เป็นสภาพคล่องพร้อมตั้งรับซื้อหุ้นยังมีอยู่ และพร้อมซื้อหากใครขายออกมา แต่หากช่วยดันราคาสิ่งนั้นไม่ใช่นโยบายกองทุนฯ

“ตลาดวันนี้ถูกผลักดันด้วยอารมณ์การลงทุน แต่ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานมันเป็นจังหวะที่ผู้จัดการกองทุนพร้อมที่จะลงทุน แม้ว่าเราห้ามความกังวลของนักลงทุนไม่ได้ แต่ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เศรษฐกิจยังมีการเติบโต” นางชวินดา กล่าว

ด้าน ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า เกณฑ์การลงทุน TESGX ที่เป็นเกณฑ์การลงทุนหุ้นไทย 65% จะต้องมีเงื่อนไข 1 ข้อ จาก 3 หัวข้อ ได้แก่ 1.หุ้นที่มีเรตติ้งซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่มีเรตติ้งใน SET ESG Rating หรือในระดับสากลอื่น ๆ เช่น FTSE, MSCI เป็นต้น

2.เป็นบริษัทที่เปิดเผยข้อมูลคาร์บอน ว่าบริษัทปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวต้องได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) และ 3.เป็นหุ้นที่ได้รับการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน (CGR) ซึ่งดำเนินการโดย สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) เกินกว่า 90 คะแนน และเปิดเผยข้อมูลใน ESG Data Platform ของตลาดฯ เกินกว่า 85% ของตัวชี้วัด

ทั้งนี้ จากที่ ก.ล.ต.ได้ออกประกาศเกี่ยวกับประเภทสินทรัพย์ที่ Thai ESGX ต้องลงทุน คือ ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV นั้น นอกจากหุ้นที่มี ESG แล้ว ยังรวมถึงตราสารหนี้ และโทเคนที่มี ESG ด้วย แต่อีก 20% สามารถลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ไม่ได้รับ ESG Ratings

นายศรพล กล่าวอีกว่า บางบริษัทที่ไม่มี ESG Rating แต่เข้าเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง Thai ESGX ก็สามารถลงทุนได้

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยรายชื่อหุ้นยั่งยืน (SET ESG Ratings) และหุ้นไทยที่มีการเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจกสำหรับกองทุน Thai ESG และ Thai ESGX โดยมีจำนวนหุ้น 14 บริษัทที่เป็น Non-rating ประกอบด้วย AYUD, BCP, CHG, CONREIT, ERW, GLAND, METCO, PPP, RCL, SUSCO, TIDLOR, TMI, TRP, TRUE

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thailand ESG Extra Fund: Thai ESGX) เป็นทางเลือกการลงทุนใหม่ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี รองรับทั้งการลงทุนใหม่และการสับเปลี่ยนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เดิม โดยโครงการนี้มีเป้าหมายกระตุ้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม

ทั้งนี้ Thai ESGX ต้องลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศไทยที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืนตามหลักเกณฑ์เดียวกันกับกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม หรือ Net Asset Value (NAV) โดยจะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน เฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV

สำหรับประเภทสินทรัพย์ที่ Thai ESGX ต้องลงทุนในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ประกอบด้วย (1) หุ้นกลุ่มความยั่งยืนใน SET หรือ mai ไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV (2) ตราสารหนี้ในกลุ่มความยั่งยืน และ (3) โทเคนดิจิทัลเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน

ขณะเดียวกันสิทธิประโยชน์ทางภาษีแบบ 2 วงเงินใหม่ ซึ่งแยกออกจากกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ได้แก่ 1.วงเงินลดหย่อนที่ 1 สำหรับเงินลงทุนใหม่ โดยบุคคลธรรมดาที่ลงทุนในกองทุน Thai ESGX ในปี 2568 สามารถลงทุนได้สูงสุด 300,000 บาท ใช้สิทธิลดหย่อนได้ ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน ต้องถือครองกองทุน ไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน) ระยะเวลาลงทุนจำกัดเดือนพ.ค.–มิ.ย. 2568 เท่านั้น

2.วงเงินลดหย่อนที่ 2 สำหรับผู้ที่สับเปลี่ยนจาก LTF เดิม สำหรับนักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุน LTF ทุกกองทุนจากทุก บลจ. และต้องการใช้สิทธิเปลี่ยนมาเป็น Thai ESGX ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท แต่ต้องทยอยลดหย่อน 5 ปี โดยปีที่ 1 (ปี 2568) ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ส่วนปีที่ 2–5 (ปี 2569–2572) ลดหย่อนได้ปีละ 50,000 บาท

โดยต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดในทุก บลจ. มาเป็น Thai ESGX หากสับเปลี่ยนมาไม่ครบ จะไม่ได้รับสิทธิลดหย่อนในวงเงินที่ 2 รวมถึงต้องถือครอง Thai ESGX ที่สับเปลี่ยนจาก LTF เดิมไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน)

ทั้งนี้ หากขายหน่วยลงทุนก่อนครบ 5 ปี ต้องคืนภาษีที่ได้รับการยกเว้นและอาจมีเบี้ยปรับตามกฎหมาย, กำไรจากการขายหน่วยลงทุนทต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้ตามเกณฑ์กรมสรรพากร, สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เพียงช่วงเวลาที่กำหนด โดยนักลงทุนต้องลงทุนหรือสับเปลี่ยนหน่วยภายใน 2 เดือน (เดือน พ.ค.–มิ.ย. 2568) เท่านั้น

Back to top button