
SFLEX โชว์กำไรนิวไฮต่อเนื่อง 9 ไตรมาสติด เดินหน้าสู่ Green Industry เต็มตัว
ผู้บริหาร บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ เผยกำไรนิวไฮต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดขายปี 2568 เติบโต 9% ย้ำความมั่นใจนักลงทุน แม้ราคาหุ้นไม่โดดเด่น แต่ผลประกอบการแข็งแกร่ง พร้อมอัปเกรดเครื่องจักรทั้งหมด รองรับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
นายสมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) เปิดเผยในรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาดวันนี้ (13 มี.ค.68) ว่า บริษัทสามารถสร้างสถิติผลกำไรสูงสุด (New High) ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 9 ติดต่อกัน โดยในปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 280 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 180 ล้านบาทในปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน คณะกรรมการบริษัท ซัพพลายเออร์ และลูกค้า
สำหรับปี 2568 บริษัทมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability) โดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้พลาสติกจะถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายของสังคม แต่ SFLEX ยืนยันว่าการใช้พลาสติกของบริษัทมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดผลกระทบต่อธรรมชาติมากที่สุดเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ
ทั้งนี้ บริษัทได้เพิ่มความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ในการพัฒนาวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โมโนแมททีเรียล (Mono-material) ซึ่งสามารถรีไซเคิลและย่อยสลายได้ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะถูกนำส่งให้กับลูกค้าและผู้บริโภค เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่ยั่งยืนที่บริษัทยึดถือมาตลอด
“SFLEX เราได้รับความเชื่อมั่นจากซัพพลายเออร์ที่กล้าลงทุนด้าน R&D และลูกค้าที่สั่งซื้อล่วงหน้ายาวถึง 3-8 เดือน ทำให้เราสามารถบริหารจัดการและส่งมอบสินค้าได้อย่างแม่นยำ” นายสมโภชน์ ระบุ
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก นายสมโภชน์ มองว่านโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ไม่สนับสนุน Go Green อาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดพลังงาน อย่างไรก็ตามทิศทางโลกยังคงมุ่งสู่พลังงานสะอาด ทำให้ราคาน้ำมันอาจไม่ขยับขึ้นมากนัก
อีกปัจจัยสำคัญคือ การที่ทรัมป์มีแนวโน้มผลักดัน Shale Oil กลับมา ซึ่งจะช่วยให้ราคาน้ำมันทรงตัว ทั้งนี้ SFLEX มองว่า ราคาน้ำมันที่ไม่ผันผวนมากเกินไปจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจ เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของบริษัท
นายสมโภชน์ เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าขยายกำลังการผลิต หลังได้รับเงินจากการเสนอขายหุ้น IPO ล่าสุด โดยการก่อสร้างโรงงานใหม่แล้วเสร็จและติดตั้งเครื่องจักรเรียบร้อย โดยยังมีพื้นที่รองรับเครื่องจักรเพิ่มเติม
สำหรับเป้าหมายการเติบโต SFLEX คาดว่ายอดขายปี 2568 จะเติบโต 9% และในปี 2569-2570 คาดว่าจะเติบโตอีกปีละ 8-9% โดยแบ่งเป็น การเติบโตของลูกค้าเดิม ซึ่งเป็น Top Tier เพิ่มขึ้นปีละ 4-5% และ การเพิ่มลูกค้าใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่ม 1-2% ต่อปี
ขณะที่ บริษัท สตาร์ยูเนี่ยน แพคเกจจิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU มีความคืบหน้าสำคัญ โดยขณะนี้ได้ติดตั้งเครื่องจักรเรียบร้อยแล้ว และตั้งเป้ายอดขายปี 2568 ไว้ที่ 100 ล้านบาท ก่อนจะขยับขึ้นเป็น 240 ล้านบาทในปี 2569
สรุปเป้าหมายทางการเงิน ปี 2568 รายได้รวม 2,150 ล้านบาท จาก SFLEX 2,050 ล้านบาท บวกกับ สตาร์ยูเนี่ยน 100 ล้านบาท ขณะที่ กำไรสุทธิปี 2569 คาดว่าจะมากกว่า 300 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าการเตรียมความพร้อมในปี 2567 จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในปี 2568 และเดินหน้าขยายการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีต่อ ๆ ไป
นายสมโภชน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน SFLEX มีกำลังการผลิตที่สามารถรองรับยอดขายได้ประมาณ 2,500-2,600 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทได้กำหนดนโยบายให้ปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพเครื่องจักรให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน SFLEX ใช้เครื่องจักรที่ทำงานที่ความเร็ว 200 เมตรต่อนาที ขณะที่เครื่องจักรของ สตาร์ยูเนี่ยน สามารถทำงานที่ความเร็ว 300 เมตรต่อนาที บริษัทจึงมีแนวทางในการพัฒนาและอัปเกรดเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตโดยไม่จำเป็นต้องเปิดโรงงานใหม่
แผนการอัปเกรดเครื่องจักรและเปลี่ยนเครื่องจักรทั้งหมด ไม่ได้มุ่งหวังเพียงเพื่อรองรับการผลิตตามโครงสร้างเดิม แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับโครงสร้างใหม่ที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการยกระดับมาตรการให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับภูมิภาค (Region Standard)
นายสมโภชน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร บริษัทเชื่อมั่นในลูกค้าของตน ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุปโภคบริโภค โดยยอดขายของสินค้าประเภทนี้ไม่น่าจะลดลง ซึ่งบริษัทมีการติดตามและทิศทางของผู้บริโภคยังเป็นเหมือนเดิม
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SFLEX มีมุมมองเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจอีกว่า แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การเข้ามาของทรัมป์ และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก แต่ยังคงมองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์ดาวน์ นอกจากนี้ สถานการณ์สงครามยูเครนอาจมีแนวโน้มที่จะยุติลงในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่จีนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในสงครามการค้า สำหรับการขยายธุรกิจบริษัทได้ตัดสินใจลงทุนในเวียดนาม เพราะมีต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่ต่ำกว่าประเทศไทย แรงงานมีวินัยในการทำงานที่สูง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าประเทศไทยยังคงมีโอกาสและความหวังในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ถึงแม้จะยากที่จะคาดเดาทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต แต่ SFLEX ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และเดินหน้าต่อไปได้ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกและประเทศไทยจะเป็นเช่นไร
นายสมโภชน์ ยืนยันว่า หุ้นของ SFLEX ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน โดยบริษัทสามารถจ่ายปันผลได้ถึง 40% และยังคงพยายามทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มมูลค่าของหุ้นให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตามราคาหุ้นจะถูกกำหนดโดยกลไกของตลาด บริษัทจึงไม่สามารถควบคุมได้
นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) มาแล้ว 3 ครั้ง รวมจำนวน 200 ล้านหุ้น โดยตั้งราคาซื้อคืนไม่เกิน 3 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการเสริมความมั่นคงและสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น
“ขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจในหุ้น SFLEX ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะไม่ได้ประทับใจมากนัก แต่ผลประกอบการนั้น ผมยืนยันว่าประทับใจแน่นอน และอนาคตต่อไปจะทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป้าหมายของเราคืออยากสร้าง SFLEX ให้เป็นส่วนหนึ่งของ Ecosystem ที่มีความแข็งแกร่ง และเรามีพาร์ทเนอร์ที่ดีร่วมงานกับเรา ทั้งนี้ ผมตั้งใจที่จะยกระดับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของไทยให้สามารถแข่งขันในระดับโลก ซึ่งหากทำได้จะเป็นก้าวสำคัญ เพราะประเทศไทยมีศักยภาพที่ดีและตลาดก็มีความพร้อมในการรองรับการเติบโตนี้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SFLEX กล่าวทิ้งท้าย