
SPCG เจออาถรรพ์ EEC.!
หลังจากบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG ของ “เจ๊วันดี กุญชรยาคง” โหมโรงสตอรี่ใหญ่ “โซลาร์อีอีซี 500 เมกะวัตต์” ตั้งแต่ปลายปี 2563
หลังจากบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG ของ “เจ๊วันดี กุญชรยาคง” โหมโรงสตอรี่ใหญ่ “โซลาร์อีอีซี 500 เมกะวัตต์” ตั้งแต่ปลายปี 2563 ด้วยการประกาศความร่วมมือพันธมิตรกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในการลงทุนโซลาร์ฟาร์มสำหรับใช้ในพื้นที่เมืองใหม่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ด้วยหมุดหมายจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ ชดเชยโซลาร์ฟาร์มเดิมที่ Adder จบสิ้นลงไปแล้ว
แต่จะด้วยบุญไม่นำพา..หรือวาสนาไม่ส่ง..หรือเมฆดำมาบดบังอย่างไรก็มิทราบได้ ผ่านมากว่า 5 ปีแล้ว สุดท้าย “โครงการโซลาร์อีอีซี 500 เมกะวัตต์” แท้งตั้งแต่ยังไม่ตั้งท้องเสียด้วยซ้ำ..!?
เพราะจู่ ๆ กฟภ.ในฐานะคนต้นเรื่อง ได้บอกเลิกสัญญาทั้งหมดที่ทำไว้กับบริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SPCG กับบริษัท พีอีเอ เอนคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาโครงการดังกล่าว
ส่วนจะด้วยปมเหตุอะไรที่ทำให้โครงการโซลาร์อีอีซี 500 เมกะวัตต์ แท้งตั้งแต่ไม่ท้องนั้น…ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เพราะกฟภ.เองก็ไม่ได้แจกแจงรายละเอียดในการยกเลิกสัญญาแต่ประการใด
แต่เท่าที่ได้ยินมา เห็นว่ามีมือที่มองไม่เห็นชักใยอยู่เบื้องหลัง…ขวางไม่ให้โครงการนี้เกิดขึ้น ซึ่งจะเท็จจริงประการใด อันนี้มิอาจทราบได้
แหม๊..อุตส่าห์ดีใจ คิดว่า SPCG จะได้ลืมตาอ้าปากเสียที สุดท้ายกลายเป็นติดบ่วงอาถรรพ์ EEC ซะงั้น..!!
เมื่อโครงการโซลาร์อีอีซี 500 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นความหวังของหมู่บ้าน SPCG ไม่เกิด…ก็ทำให้ SPCG ไม่มีทางเลือก ต้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเรียกร้องค่าเสียหายจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) วงเงินรวม 3,716.12 ล้านบาท ไปตามระเบียบ (พัก)…ก็ถือเป็นการปกป้องสิทธิ์ตามกฎหมาย
โอเค…ในแง่ของการฟ้องร้องดำเนินคดีก็ว่ากันไป
แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือ ต้องเผชิญความกดดันจากการที่โซลาร์ฟาร์มทยอยหมด Adder ไปเรื่อย ๆ โดยเท่าที่รู้ในปี 2567 ที่ผ่านมา มี 13 โครงการที่หมด Adder เชียวนะ…ไม่นับรวมที่จะทยอยหมดในปีนี้ และปีต่อ ๆ ไปอีก จากทั้งหมดที่มีอยู่ 36 โครงการ…
ทำให้จากที่เคยเสวยสุขกับ Adder ที่ 8 บาทต่อหน่วยมานาน 10 ปี ต่อไปจะได้ค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.40 บาทต่อหน่วยแทน
นั่นหมายถึงรายได้และกำไรก็จะวูบหายตามไปด้วย..!?
มิน่าล่ะ ผลประกอบการของ SPCG ถึงได้ถดถอยไปเรื่อย ๆ อย่างในปี 2563 เคยมีรายได้รวมอยู่ระดับ 5,047.31 ล้านบาท กำไรสุทธิกว่า 2,731.62 ล้านบาท ถัดมาปี 2564 รายได้รวมลดลงเหลือ 4,580.31 ล้านบาท กำไรสุทธิลดเหลือ 2,479.20 ล้านบาท ส่วนปี 2565 มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,471.25 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,320.48 ล้านบาท
ขณะที่ ปี 2566 มีรายได้รวม 4,218.79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,837.97 ล้านบาท และปี 2567 รายได้รวมเหลือแค่ 2,166.64 ล้านบาท กำไรสุทธิลดเหลือ 682.51 ล้านบาทเท่านั้น
ดูจากสถานการณ์แล้ว หากปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ ๆ มีหวังไม่ปีนี้ก็ปีหน้าคงได้เห็น SPCG รายได้ต่ำร้อยล้าน และกำไรต่ำสิบล้าน..ซะแล้วกระม๊าง..!!
ทำให้โจทย์ใหญ่ของ SPCG คือต้องเร่งไปแสวงหาโครงการใหม่ ๆ หรือแหล่งรายได้ใหม่เข้ามาทดแทนให้ได้โดยเร็ว…
ไม่งั้นนอกจากผลประกอบการจะเหี่ยวเฉาแล้ว ราคาหุ้นก็จะเหี่ยวเฉาตามไปด้วย…
ซึ่งดูแล้วตอนนี้ปลายอุโมงค์ของ SPCG ก็ยังริบหรี่อยู่นะ..??
น่าหนักใจแทน “เจ๊วันดี” จริง ๆ…
…อิ อิ อิ…