
พาราสาวะถี
แทบจะไม่ต้องรอคำตอบเลยก็ว่าได้ หลังจากเห็นประเด็นว่าที่ประชุม ครม.มอบหมายให้ ชูศักดิ์ ศิรินิล ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ให้ชัด
แทบจะไม่ต้องรอคำตอบเลยก็ว่าได้ หลังจากเห็นประเด็นว่าที่ประชุม ครม.มอบหมายให้ ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ให้ชัด “มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” นั้นเป็นอย่างไร มองมุมไหนก็เชื่อได้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าจะไม่มีการรับคำร้องไว้พิจารณาอย่างแน่นอน แล้วก็เป็นไปตามนั้นด้วยเหตุผลสั้น ๆ เหมือนทุกครั้งกับหลายเรื่องที่ผ่านมา เพราะเหตุยังไม่เกิดจึงยังไม่สามารถวินิจฉัยให้ได้
ชัดเจนตามคำวินิจฉัยที่ว่า คำร้องดังกล่าวเป็นเพียงการขอให้อธิบาย หรือแปลความหมายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) และ (7) และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง 2535 มาตรา 9 (5) ว่ามีความหมายขอบเขตเพียงใด อันมีลักษณะเป็นการหารือเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของผู้ร้องเกิดขึ้นแล้ว
เช่นเดียวกับกรณีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่นตามคำร้องซึ่งไม่ใช่รัฐมนตรี ก็เป็นอำนาจให้ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติเฉพาะข้าราชการการเมือง มิใช่การใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องด้วยเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (2) และมาตรา 44 ผลเช่นนี้ทำให้การปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลยังต้องคุมเข้ม ตั้งการ์ดสูงกันต่อไป
อีกนัยหนึ่ง บรรดาพวกที่มีปัญหาคุณสมบัติจนทำให้หมดโอกาสร่วมงานกับ แพทองธาร ชินวัตร จำเป็นต้องยอมรับชะตากรรม ไม่สามารถกลับมานั่งเก้าอี้เสนาบดีได้อีกคำรบ ไม่ว่าจะเป็น ธรรมนัส พรหมเผ่า จากพรรคกล้าธรรม หรือ ชาดา ไทยเศรษฐ์ จากภูมิใจไทย ซึ่งในระดับนำของพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง ภูมิธรรม เวชยชัย ผู้จัดการรัฐบาล และ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคสีน้ำเงิน ต่างก็ยอมรับตรงกัน การปรับ ครม.ก็ต้องเข้มข้นเหมือนตอนตั้งรัฐบาลแพทองธาร 1
ประเด็นที่ว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าเหตุยังไม่เกิด ทำไมไม่ลองตั้งใครซักคนที่มีปัญหาเพื่อที่จะได้เป็นช่องทางในการเสนอให้ศาลได้วินิจฉัย ใครจะกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้น กรณีของ เศรษฐา ทวีสิน มีให้เห็นมาแล้ว เท่ากับว่าเป็นโจทย์ให้ ทักษิณ ชินวัตร ฐานะผู้มีบารมีในรัฐบาล ต้องร่วมกันขบคิดกับลูกสาว รวมทั้งเหล่าแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล จะตอบแทนกันทางการเมืองเหมือนในอดีตไม่ได้อีกแล้ว แต่อีกด้านก็เป็นการดีเพราะจะเป็นโอกาสให้ได้เลือกใช้บริการคนที่มีความรู้ ความสามารถอย่างแท้จริง
ไม่มีเหตุให้ต้องดันทุรังจนศึกซักฟอกไม่เกิดขึ้น คำตอบจาก ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านหลังเข้าหารือกับ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรคือ ยอมแก้ญัตติถอดชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ออก ใช้คำว่า “พ่อนายกฯ” หรือ “ชายคนนั้น” แทน แลกเงื่อนไขต้องได้เวลาอภิปราย 30 ชั่วโมง มันต้องเป็นไปในรูปแบบนั้นอยู่แล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องของวิป 3 ฝ่ายที่จะต้องเคาะกันว่าจะใช้เวลาซักฟอกกันกี่วัน ต่อให้ถกเถียงกันคอเป็นเอ็น สุดท้ายย่อมสามารถใส่เกียร์ถอยกันได้ทุกฝ่าย
เสียงวิจารณ์ยังคงต่อเนื่อง เรื่องที่คณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่แพทองธารนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เคาะจ่ายเงินหมื่นบาทเฟส 3 ให้กับกลุ่มผู้มีอายุ 16-20 ปี ทำให้เกิดคำถามตัวโตว่า สรุปแล้วดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยนั้น เดิมทีบอกว่าจะแจกก้อนเดียวพร้อมกันทั่วประเทศ กลายเป็นโครงการแบ่งจ่าย กระท่อนกระแท่น แบบนี้ไม่ต้องปฏิเสธว่ามีปัญหาเรื่องงบประมาณอย่างแน่นอน
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นการใช้วิธีแบบศรีธนญชัย เพื่อเลี่ยงปัญหาเสียงคัดค้านที่ประดังประเดตั้งแต่รัฐบาลเริ่มบริหารประเทศในยุคเศรษฐา คำถามประการต่อมาก็คือ เมื่อจ่ายกันแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้ ที่บอกว่าจะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ก็เป็นแค่คำคุยโวโอ้อวดเท่านั้นใช่หรือไม่ จึงไม่แปลกที่จะมีผู้ร้องว่ารัฐบาลเดินหน้าโครงการนี้แบบไม่ตรงปก ผลที่หวังว่าจะช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจึงไม่น่าจะเป็นไปอย่างที่เคยประกาศไว้
ด้วยเหตุนี้จึงมีการตะแบงไปในทิศทางที่ว่า การเดินหน้าแจกเงินหมื่นเฟสแรกและเฟสสองนั้น เป็นการลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ประสบปัญหาจากภาวะค่าครองชีพ จึงเลือกที่จะแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบางและกลุ่มผู้สูงอายุก่อน และจ่ายเป็นเงินสดด้วย พอมาเฟส 3 ล็อกเป้าหมายที่กลุ่มวัยรุ่น ด้วยข้ออ้างว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้เทคโนโลยี เพราะรัฐบาลจะเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตเท่านั้น
สิ่งที่คนสงสัยก็คือ ทำไมเงื่อนไขการใช้จ่ายของคนกลุ่มนี้ไม่จำกัดการนำเงินไปซื้อเหล้า หรือบุหรี่เหมือนกลุ่มแรก ฟังคำตอบของ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยิ่งไปกันใหญ่ อ้างว่าถ้าจำกัดเท่ากับว่าร้านค้าขนาดเล็ก หรือร้านชำที่ขายสินค้าอื่นมากกว่าเหล้า บุหรี่ จะไม่สามารถร่วมโครงการได้ แต่ร้านที่ขายเฉพาะของเหล่านี้เข้าร่วมโครงการไม่ได้ สุดท้าย ปัญหาสำคัญอยู่ที่ระบบที่จะใช้งานยังไม่รองรับเรื่องกำหนดประเภทของสินค้าที่จะซื้อได้
ไม่ต่างกันกับกรณีข้อเรียกร้องของผู้ปกครองที่ว่าไหน ๆ ก็จ่ายเงินให้เด็กกลุ่มนี้แล้ว ควรจะนำไปจ่ายค่าเทอมได้ ฝ่ายรัฐบาลกลับชี้แจงว่าถ้าครอบครัวบริหารจัดการได้ดี การที่เด็กได้เงินไปแล้วซื้อสิ่งของที่จำเป็นสำหรับครอบครัว ก็จะทำให้พ่อแม่เหลือเงินส่วนนั้นไปจ่ายค่าเทอมได้ เป็นการแบ่งเบาภาระได้เป็นอย่างดี คงจับไม่ได้ไล่ไม่ทันถ้าใช้การอธิบายแบบไปได้เรื่อย ๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเลือกจ่ายคนกลุ่มนี้เพราะเอาใจวัยโจ๋ หวังผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่ ทุกท่วงท่าที่ผ่านมาเห็นได้ว่าล้วนเกี่ยวพันกับมิติทางการเมืองทั้งสิ้น
อรชุน