
SQ พุ่งแรง 14% รับ “กฟผ.” จ่อเซ็นสัญญาขุดถ่านหิน “เหมืองแม่เมาะ” 7 พันล้าน
SQ พุ่งแรง 14% รับกฟผ. จ่อเซ็นสัญญาจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหิน “เหมืองแม่เมาะ” สัญญาที่ 8/1 วงเงิน 7,250 ล้านบาท หลังผลการตรวจสอบไม่พบเรื่องการทุจริตใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SQ ณ 10:20 น. อยู่ที่ระดับ 0.75 บาท บวก 0.09 บาท หรือ 13.64% ราคาสูงสุด 50.85 บาท ราคาต่ำสุด 0.70 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 5.18 ล้านบาท
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ภายหลังจาก กฟผ.ได้รับหนังสือจากทางกระทรวงพลังงาน ลงวันที่ 7 มี.ค. 2568 เรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ.นั้น เบื้องต้นผลการตรวจสอบฯ ไม่พบเรื่องการทุจริตใด ๆ ซึ่งงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหิน เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 ยังมีความจำเป็นและต้องเดินหน้าต่อไป
“ผลการตรวจสอบฯ ไม่พบเรื่องการทุจริตใด ๆ งานสัญญา 8/1 ยังมีความจำเป็นและต้องเดินหน้าต่อไป คงมีเฉพาะในส่วนของข้อแนะนำให้ปรับปรุงกระบวนการการจัดหาให้ชัดเจนนั้น กฟผ. พร้อมพิจารณาปรับปรุง” นายเทพรัตน์ กล่าว
แหล่งข่าวจาก กฟผ. เปิดเผยว่า ภายหลังกระทรวงพลังงานส่งหนังสือ ลงวันที่ 7 มี.ค. 2568 ถึงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ ถึงผู้ว่าการ กฟผ. นั้น โดยหนังสือดังกล่าวมีข้อเสนอแนะการดำเนินงานของ กฟผ. ในด้านการดำเนินการในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมองว่ามีความหละหลวมหลายประการ จึงเป็นเรื่องที่คู่กรณีพึงใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการต่อไปเอง ซึ่งได้ให้ผู้ว่าการ กฟผ.พิจารณาดำเนินการตามความถูกต้องเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ขณะที่การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ เครื่องที่ 8-11 เนื่องจากสถานการณ์ราคาก๊าชธรรมชาติเหลว (LNG) เปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมที่ประชุม กพช. ครั้งที่ 4/2565 (ครั้งที่ 259) เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2565 ได้มีมติเห็นชอบการเลื่อนแผนการปลดเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะ เครื่องที่ 8-11 ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2568 เนื่องจากคาดการณ์ว่าราคา LNG จะยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงจนถึงปี 2568 หรือปี 2569 เพราะเหตุสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่มีข้อยุติ และภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 คลี่คลาย โดยอุปทานเพิ่มเติมจากโครงการผลิต LNG ยังคงจำกัด เพราะการลงทุนก่อสร้างโครงการผลิตใหม่ลดลง แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะโดยวิธีพิเศษจึงหมดสิ้นไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หนังสือดังกล่าว ไม่ได้สั่งให้ กฟผ.ยุติสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแต่อย่างใด แต่ให้ กฟผ. พิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะโดยวิธีพิเศษ สัญญาที่ 8/1 ทั้งนี้ภายหลังจากที่ผู้ว่าการ กฟผ. ได้รับหนังสือแล้ว หลังจากนี้ กฟผ. จะทำหนังสือตอบกลับไปยังกระทรวงพลังงาน เพื่อชี้แจงถึงความจำเป็นที่ต้องเดินเครื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ เครื่องที่ 8-11 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีต้นทุนผลิตไฟฟ้าถูก พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น หากไม่มีโรงไฟฟ้าถ่านหิน ก็จะทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้า LNG สูงขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 90 ลำต่อปี
ส่วนกรณีข้อเสนอแนะด้านกฎหมายหละหลวมนั้น กฟผ. พร้อมน้อมรับข้อเสนอ ดังนั้นคาดว่าหลังจากนี้ ผู้ว่าการ กฟผ. จะเตรียมลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับทางบริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SQ เร็ว ๆ นี้ โดยเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าบอร์ด กฟผ. แล้ว ซึ่งเป็นอำนาจของผู้ว่าการ กฟผ. สามารถดำเนินการได้ทันที
ขณะที่บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SQ ซึ่งเป็นผู้ชนะประมูลงานเหมา-ขุดดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 วงเงิน 7,250 ล้านบาท โดย กฟผ.ประกาศให้ชนะประมูล เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2567 เนื่องจากเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขการประมูลและเป็นผู้ที่เสนอราคาต่ำที่สุด ต่อมาบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD อุทธรณ์ผลการคัดเลือกต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯ และต่อมานายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯ เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 ซึ่ง คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว
โดยล่าสุดทาง SQ ทำหนังสือทวงถาม กฟผ. ให้เร่งลงนามสัญญาภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือ โดยลงวันที่ในหนังสือวันที่ 5 มี.ค. 2568 ไม่เช่นนั้น จะขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินคดีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำให้โครงการล่าช้า ทั้งคดีทางปกครอง อาญาและแพ่ง นอกจากนี้ บริษัทมีความกังวลว่า หากงานจ้างเหมาขุดขนดินและฐานที่เหมืองแม่เมาะสัญญาที่ 8/1 เกิดความล่าช้าออกไป ย่อมส่งผลกระทบต่อแผนงานที่บริษัทได้เสนอไว้ต่อ กฟผ. และกระทบต่อระยะเวลายืนราคาค่าจ้าง ทำให้บริษัทต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ล่าช้าค่าไฟขึ้น 10 สต.
นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส นักธุรกิจด้านพลังงานสะอาด และอดีตสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก และแพลตฟอร์มเอ๊กซ์ (X) ถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เคยออกคำสั่งเบรกการจัดซื้อจัดจ้างถ่านหินลิกไนต์ เข้าโรงไฟฟ้าแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ว่า หากเกิดความล่าช้าจะทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มีภาระที่สูงขึ้น และอาจกระทบค่าไฟได้ถึง 10 สตางค์
โดยวันนี้การใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าจากหลายประเภท ทั้งก๊าซฯโซลาร์ ลม ขยะ ถ่านหินลิกไนต์ เป็นต้น ซึ่งสูตรการคิดค่าขายไฟให้ประชาชนคือการเอาต้นทุนซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเหล่านี้มาเฉลี่ยต้นทุน บวกค่าสายส่ง และค่าบริการของการไฟฟ้าฯ เป็นต้น โดยอัตราค่าซื้อไฟก็แตกต่างกันออกไป เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซ ประมาณกว่า 3 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าโซลาร์ ลม Adder ประมาณ 8-13 บาทต่อหน่วย ส่วนถูกที่สุดก็คือโรงไฟฟ้าถ่านหินประมาณ 1.5 บาทต่อหน่วย ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ ของ กฟผ.ที่ต้นทุนการผลิตไฟต่ำที่สุด
ทั้งนี้หากประเทศไทยทำสัญญาซื้อไฟกับโรงไฟฟ้าที่ต้นทุนถูกมาก ๆ แน่นอนว่าค่าไฟก็จะถูกลง เช่น โครงการประมูลโซลาร์ล็อตใหม่ 3,600 เมกะวัตต์ จะถูกกว่าโครงการโซลาร์แบบมี Adder ล็อตเก่า เพราะราคาประมูลใหม่นั้น fix ราคาซื้อที่ 2.16 บาทต่อหน่วย ตลอดอายุสัญญา (ในขณะที่สัญญาเก่า + ค่า Adder + Ft กลับสูงถึง 8-13 บาทต่อหน่วย)
อย่างไรก็ตาม วันนี้ประเทศไทยกำลังเข้าขั้นวิกฤตจากการบริหารงานที่ผิดพลาดอีกครั้งของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เนื่องจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะของ กฟผ. ที่ปัจจุบันมีกำลังผลิตถึง 2,400 เมกะวัตต์ และเป็นโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟได้ถูกที่สุดของประเทศไทย กำลังมีปัญหาด้านการผลิต เพราะนายพีระพันธุ์ไปสั่งคัดค้านการซื้อถ่านหินของ กฟผ. ทั้ง ๆ ที่มีการประมูลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
โดยทราบต่อมาว่ามี “นายทุนใหญ่” ผู้เสียผลประโยชน์แพ้ประมูลขุดถ่านหิน ไปวิ่งอุทธรณ์ โดยนายพีระพันธุ์ก็รับลูกด้วยความรวดเร็วเสมือนเป็นผู้มีส่วนได้เสียเองจนน่าแปลกใจ จนเป็นที่มาของการ “เบรก” กฟผ. ในการจัดซื้อถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงเดียวของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ทั้งที่ กฟผ.ได้เคยออกมาชี้แจงแล้วว่าการประมูลขุดเหมืองถ่านหินเป็นไปอย่างโปร่งใส
ขณะที่ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ประชาชนต้องรับกรรมที่ตามมาจากการกระทำของนายพีระพันธุ์ เพราะโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะต้องลดกำลังการผลิตจาก 2,400 เมกะวัตต์ เหลือ 1,285 เมกะวัตต์ เนื่องจากถ่านหินในคลังมีไม่เพียงพอ โดย กฟผ.ต้องเปลี่ยนไปเดินโรงไฟฟ้าก๊าซแทน ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า และยังต้องนำเข้าก๊าซ LNG มาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รัฐต้องแบกต้นทุนที่สูงขึ้นถึงเดือนละ 1,300-1,900 ล้านบาท และอาจมีการปรับค่าไฟขึ้นอีกประมาณ 7-10 สตางค์ ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2568 เป็นต้นไป
ดังนั้นคำถามคือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเป็นผู้สั่งคัดค้านการรับซื้อถ่านหินเข้าโรงไฟฟ้าแม่เมาะ พร้อมรับผิดชอบลาออกไหม หากค่าไฟมีการปรับขึ้น