
“คริส แบรดลีย์” แนะ 6 New S-Curve โอกาส “ไทย” ในเศรษฐกิจโลก
"คริส แบรดลีย์" หุ้นส่วนอาวุโส McKinsey & Company เปิดมุมมองเศรษฐกิจโลก แนะ 6 อุตสาหกรรม New S-Curve ที่จะเป็นโอกาสสำคัญของไทยและอาเซียน พร้อมแนวทางปรับตัวสู่สนามแข่งขันใหม่ในยุคดิจิทัล
นายคริส แบรดลีย์ หุ้นส่วนอาวุโสจากบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก McKinsey & Company ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและโอกาสใหม่สำหรับประเทศไทยและอาเซียน ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปีของ MFC ภายใต้แนวคิด “The World Next Opportunities and Beyond” ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับเนชั่น กรุ๊ป เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568
โดย แบรดลีย์ เริ่มต้นด้วยการย้อนมองประเทศไทยตั้งแต่ปี 2518 ซึ่งเป็นปีที่เขาเกิดและเป็นปีเดียวกับการก่อตั้ง MFC ในอดีต ประเทศไทยมีประชากรเพียง 40 ล้านคน โดย 80% ของประชากรอาศัยอยู่ในชนบท GDP ต่อหัวอยู่ในระดับต่ำ และระบบการศึกษายังไม่แพร่หลายอย่างทั่วถึง แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 70 ล้านคน GDP ต่อหัวเติบโตขึ้นถึง 7 เท่า อัตราความยากจนลดลงเหลือเพียง 6% และการศึกษาขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาเชิงโครงสร้างของประเทศ
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกเห็นได้ชัดจากการจัดอันดับบริษัทชั้นนำในดัชนี S&P 500 โดยในปี 2548 บริษัทขนาดใหญ่ยังครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม เช่น น้ำมัน ธนาคาร และค้าปลีก โดยมีเพียง Microsoft เป็นตัวแทนของกลุ่มเทคโนโลยีเพียงรายเดียว แต่เมื่อมาถึงปี 2568 รายชื่อบริษัทเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียง Microsoft ที่ยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ขณะที่อีก 9 บริษัทที่เหลือเป็นบริษัทเทคโนโลยีเกิดใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของธุรกิจและเศรษฐกิจโลก
สนามแข่งขันใหม่ หรือ “Arena of Competition” คือกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีพลวัตสูงและไม่ได้แข่งขันตามกฎเดิม ประกอบด้วย 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่:
1.มูลค่า (Value) ขนาดและความสำคัญของอุตสาหกรรม
2.ความเป็นพลวัต (Dynamism) ความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลง และการเกิดขึ้นของผู้เล่นรายใหม่
ขณะที่อุตสาหกรรมที่อยู่ในสนามแข่งขันใหม่นี้ ได้แก่ ซอฟต์แวร์, คลาวด์, รถยนต์ไฟฟ้า, เซมิคอนดักเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ซึ่งแม้ว่าจะมีสัดส่วนรายได้เพียง 10% ของภาคเอกชนทั้งหมด แต่กลับสร้างมูลค่าตลาดถึง 50% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่รวดเร็วและศูนย์กลางของนวัตกรรม
โดยปัจจุบัน 80% ของสนามแข่งขันใหม่ถูกครอบครองโดยสหรัฐฯ และจีน ขณะที่อาเซียนยังมีบทบาทน้อยมาก โดยมีสัดส่วนเพียง 1% ของอุตสาหกรรมเหล่านี้ แบรดลีย์ ตั้งคำถามว่า อาเซียนจะสามารถเพิ่มบทบาทในเวทีนี้ได้หรือไม่ และจะต้องปรับตัวอย่างไรให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก
สำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญ มี 6 กลุ่มหลัก ได้แก่
1.อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) – ตลาดออนไลน์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอาเซียนที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนสู่ดิจิทัลมากขึ้น
2.โฆษณาดิจิทัล (Digital Advertising) – การใช้สื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สร้างโอกาสให้ธุรกิจด้านโฆษณาดิจิทัลเติบโตแบบก้าวกระโดด
3.วิดีโอเกม (Video Games) – อุตสาหกรรมเกมกำลังขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะ e-Sports และเกมมือถือ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มหาศาลในเอเชีย
4.การก่อสร้างแบบแยกส่วน (Modular Construction) – เทคโนโลยีการก่อสร้างที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
5.เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors) – ไทยสามารถเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิปที่กำลังขยายตัวทั่วโลก
6.ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles – EVs) – ไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิต EV ในภูมิภาค โดยมีการลงทุนจากบริษัทชั้นนำระดับโลก
โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 29 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1 ใน 3 ของ GDP โลกในอนาคต ขณะที่อาเซียนยังมีสัดส่วนเพียง 4% ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่ภูมิภาคนี้ต้องเร่งพัฒนา
ขณะที่ปัจจุบัน ไทย กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรม New Space, อินโดนีเซีย เป็นแหล่งสำคัญของแบตเตอรี่ EV เนื่องจากมีแหล่งแร่นิกเกิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก, เวียดนาม ได้รับการลงทุนมหาศาลจากบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เช่น Intel และ Samsung, สิงคโปร์ นำหน้าในธุรกิจ Space เทคโนโลยีเกษตรขั้นสูง และระบบโลจิสติกส์
พร้อมกันนี้ แบรดลีย์ ฝากข้อคิดสำคัญว่า “ประเทศไทยและอาเซียนต้องเร่งปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อสนามแข่งขันใหม่ หากต้องการก้าวเป็นผู้ชนะในเศรษฐกิจแห่งอนาคต เราจำเป็นต้องคิดล่วงหน้าและลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต ท่ามกลางความท้าทายด้านประชากรและสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะเกิดขึ้น”