STGT ถุงมือยางกำไรเด่น!

แม้งบปี 2567 ของบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ไม่ได้เติบโตร้อนแรงเหมือนในอดีต โดยรายงานกำไรสุทธิ 995.32 ล้านบาท


คุณค่าบริษัท

แม้งบปี 2567 ของบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ไม่ได้เติบโตร้อนแรงเหมือนในอดีต โดยรายงานกำไรสุทธิ 995.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 551.9% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 152.68 ล้านบาท และมีรายได้รวม 24,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.3% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 18,979 ล้านบาท

แต่ถือเป็นผลงานที่เติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะการสร้างสถิติใหม่ด้วยปริมาณขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 38,549 ล้านชิ้น ซึ่งเติบโตในทุกผลิตภัณฑ์

โดยมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 25,002.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.1% จากปีก่อน เป็นผลจากการเติบโตทั้งปริมาณขายและราคาขายถุงมือยาง ซึ่งในปี 2567 ราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางในทุกผลิตภัณฑ์ อยู่ที่ 642 บาท/พันชิ้น เพิ่มขึ้น 6.1% ตามการปรับสมดุลของภาวะอุปทานส่วนเกินของอุตสาหกรรมและการเคลื่อนไหวของน้ำยาง ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก ทั้งนี้ราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางในไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 643 บาท/พันชิ้น

ขณะที่ ปริมาณขายทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับแต่ก่อตั้งบริษัทมา 36 ปี อยู่ที่ 38,549 ล้านชิ้น เติบโต 22.8% โดยถุงมือยางธรรมชาติแบบมีแป้ง (NRPD) เพิ่มขึ้น 11.9% ถุงมือยางธรรมชาติแบบไม่มีแป้ง (NRPF) เพิ่มขึ้น 11.1% และถุงมือยางสังเคราะห์ (NBR) เพิ่มขึ้นสูงถึง 67.3%

ด้านกำไรขั้นต้น อยู่ที่ 2,169.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงมาอยู่ที่ 8.7% จาก 10.9% ในปีก่อน เป็นผลหลักจากต้นทุนน้ำยางที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าบริษัทฯ จะสามารถผลักดันราคาขายให้เพิ่มขึ้นได้ แต่ด้วยการแข่งขันด้านราคาในอุตสาหกรรม ทำให้การปรับขึ้นดังกล่าวยังเป็นอัตราที่น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุนน้ำยาง

โดยในปี 2567 บริษัทฯ มีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization rate) อยู่ที่ 82.8% เพิ่มขึ้น 64.2% ในปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 4/2567 อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 85.9% จาก 77.1% ในไตรมาสก่อนหน้า

บล.โกลเบล็ก เชื่อว่าเส้นทางกำไรสุทธิรายไตรมาสของ STGT จะยังคงเพิ่มขึ้นทีละน้อยในไตรมาส 1/2568 เป็นต้นไป โดยได้รับแรงหนุนจาก 1) ความต้องการของอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น โดยจะค่อย ๆ เพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตโดยรวมของ STGT จากเพียง 77% ในไตรมาส 3/2567 เป็น 86% ในไตรมาส 4/2567 ซึ่งคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตโดยรวมของ STGT จะยังคงสูงกว่า 80% ในปี 2568

2) อุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้น เนื่องจากอุปทานลดลงจากการหยุดผลิตอย่างถาวรของคู่แข่งหลักหลายรายในมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตถุงมือสังเคราะห์ NBR รายใหญ่ และ 3) การขยายกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของ STGT เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งรายอื่นที่ลดหรือปิดโรงงานผลิตทั้งชั่วคราวหรือถาวร

สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบันราคาหุ้น STGT ซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 20.29 เท่า เทียบกับ P/E ตลาดโดยรวมที่ระดับ 16.04 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายสูงกว่าตลาด อย่างไรก็ตามถ้าดู P/BV ที่ระดับ 0.52 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ปัจจุบันซื้อขาย P/BV เฉลี่ยที่ 1.12 เท่า โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 11.48 บาท จากราคาต่ำสุด 9.30 บาท และราคาสูงสุด 14.28 บาท

Back to top button