
บัตรเครดิตปี 68 ยังเผชิญความท้าทาย
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธุรกิจบัตรเครดิตทั้งระบบอยู่ที่ 2.6% ขณะที่ในบางช่วง NPL มีการขยับตัวเพิ่มขึ้น
เส้นทางนักลงทุน
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธุรกิจบัตรเครดิตทั้งระบบอยู่ที่ 2.6% ขณะที่ในบางช่วง NPL มีการขยับตัวเพิ่มขึ้น แถมมีแนวโน้มว่าในปี 2568 ธุรกิจนี้อาจจะอาการหนักกว่าปีก่อน การทำธุรกิจของผู้ประกอบการแต่ละรายน่าจะไม่ง่าย เนื่องจากจะต้องรับมือกับทั้งปัจจัยภายใน คือการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ยังฟื้นตัวได้ช้า ท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนระดับสูง การผิดนัดชำระ และหนี้เสียเพิ่มสูงขึ้น
“อธิศ รุจิรวัฒน์” ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรีคอนซูมเมอร์ ในฐานะประธานชมรมบัตรเครดิต ระบุว่า ในช่วงที่มีการปรับอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 8% พบว่าครึ่งหลังของปี 2567 ได้เห็น NPLs เพิ่มขึ้นมาก แต่ปัจจุบันเริ่มทรงตัวแล้ว และเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตที่ระดับ 8% ต่อไป โดยจะยังไม่มีการปรับขึ้นอีก จากเดิมที่จะคงไว้ในระดับดังกล่าวจนถึงสิ้นปี 2568
นอกจากนี้ การแข่งขันในอุตสาหกรรมจะยังคงเข้มข้นต่อเนื่อง ขณะที่การกำกับดูแลของภาครัฐอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการ เช่น การคืนดอกเบี้ยให้ลูกค้า การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม และ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ธนาคารและผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือมีหน้าที่ร่วมรับผิดชอบ
ดังนั้น ในฐานะประธานชมรมบัตรเครดิตในเดือนหน้าจึงจะมีการขอเข้าพบธปท.เพื่อหารือในประเด็นต่าง ๆ ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคงอัตราการชำระขั้นต่ำ
“ต้นปีที่ผ่านมา อยู่ในบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาล และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ Easy E-Receipt มากระตุ้นให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อยังต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงฟื้นตัวช้า อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูง ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้และหนี้เสียที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง
การที่ธปท.ตัดสินใจคงอัตราการจ่ายขั้นต่ำของบัตรเครดิตไว้ที่ 8% ต่อในปีนี้ มองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะช่วยไม่ให้เกิดการเพิ่มขึ้นของ NPL และทำให้แนวโน้ม NPL ธุรกิจบัตรเครดิตในปี 2568 ทรงตัว ทั้งนี้ชมรมบัตรเครดิตจะเข้าพบธปท.ในเดือนหน้า เพื่อหารือให้พิจารณาคงอัตราชำระขั้นต่ำไว้ที่ 8% ต่อไปก่อน เพราะถือว่าสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน”
แม้จะมีความท้าทาย แต่ในฐานะผู้ประกอบการก็จำเป็นที่จะต้องปรับตัว ดังนั้นในปี 2568 “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” จึงยังคงตั้งเป้าในการเติบโตมากกว่าปีก่อน โดยจะเน้นคุณภาพของลูกค้าและสินเชื่อที่ปล่อยไปด้วย
โดยคาดว่าจะมียอดบัญชีลูกค้าใหม่อยู่ที่ 653,000 บัญชี เติบโต 10% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่มียอดใช้จ่ายบัตรเครดิต 431,500 ล้านบาท เติบโต 10% ยอดสินเชื่อใหม่ 108,800 ล้านบาท เติบโต 14% และยอดสินเชื่อคงค้าง 158,500 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ
ในปี 2567 ที่ผ่านมา “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” มีการเติบโตดีกว่าตลาด โดยมียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 594,000 บัญชี เติบโต 6% ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 392,500 ล้านบาท เติบโต 8% ยอดสินเชื่อใหม่ 95,500 ล้านบาท เติบโต 4% และยอดสินเชื่อคงค้าง 146,200 ล้านบาท
“กรุงศรี คอนซูมเมอร์” จะเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ เพื่อคงความเป็นผู้นำในธุรกิจ โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ผ่าน 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์หลักให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น 2.ขยายระบบนิเวศพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ 3.สร้างเสริมนวัตกรรมทางการชำระเงิน 4.ผสานความร่วมมือในเครือกรุงศรีเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ และ 5.พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน
หัวหอกสำคัญที่จะใช้เพื่อผลักดันการเติบโตในปีนี้ ในส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan : P-Loan) จะมีการปรับปรุงยกเครื่องบัตรเครดิตในพอร์ตใหม่อีกครั้ง การดูแลลูกค้า ทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ การเฟ้นหาพันธมิตรใหม่ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง และการออกบัตรเครดิตใหม่ ๆ ที่อาจจะไม่ได้ใช้ชื่อว่า “กรุงศรี” เพื่อให้บริการลูกค้าเวลธ์
รวมถึงจะมีการปรับโมเดลผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตที่มีการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ (Co-branding) โดยจะกลับไปทบทวนสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของแต่ละหน้าบัตร เช่น บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตโลตัส
นอกจากนี้ คาดว่าจะได้เห็นภาพ “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” ประกาศความร่วมมือใหม่ เพื่อสนับสนุนให้บัตรเครดิตของบริษัทเป็นบัตรใบแรก ๆ ในกระเป๋าสตางค์ที่ลูกค้าหยิบขึ้นมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แอปเปิล (Apple) และกูเกิล (Google)
ทั้งนี้ หากผลการเข้าพบเพื่อหารือกับธปท.ประสบความสำเร็จ สามารถชะลอการปรับขึ้นอัตราการชำระขั้นต่ำที่ 8% ซึ่งจะสิ้นสุดภายในสิ้นปี 2568 ออกไปได้ จะส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มบัตรเครดิตให้ดูดีขึ้น
โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ระบุว่า มีมุมมอง slightly positive ต่อกลุ่มบัตรเครดิต หากธปท.ผ่อนปรนอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตที่ 8% ออกไปอีก จากปัจจุบันถึงสิ้นปี 2568 เพราะจะชะลอการตกชั้นของลูกหนี้ ทำให้ชะลอการเพิ่มของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPLs รวมถึงสถาบันการเงินจะมีรายได้ดอกเบี้ย (NII) เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อเรียงลำดับสถาบันการเงินที่มีสินเชื่อบัตรเครดิตจากมากไปหาน้อย พบว่า ในกลุ่มธนาคาร ภาพรวมแต่ละธนาคารมีสินเชื่อบัตรเครดิตไม่เกิน 5% ขณะที่ในกลุ่ม Consumer Finance นั้น KTC มี 66%, AEONTS 44% สำหรับ MTC, SAWAD, THANI และ MICRO ไม่มีสินเชื่อประเภทดังกล่าว
ถึงแม้ภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย แต่ผู้ประกอบการทุกค่ายยังเชื่อมั่นและตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตต่อไปในปี 2568 นี้