
น้ำมัน WTI บวก 1% แตะ 67.85 เหรียญ หลัง “ทรัมป์” สั่งโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมน
ราคาน้ำมัน WTI บวก 1% แตะ 67.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังสหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีทางทหารในเยเมน กระตุ้นความกังวลต่อเสถียรภาพภูมิภาค นักวิเคราะห์ชี้ความขัดแย้งอาจกระทบซัพพลายน้ำมันและทำให้ราคาผันผวน ขณะที่รัสเซียเตือนให้ยุติการใช้กำลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (17 มี.ค.68) ณ เวลา 7:16 น. ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนเมษายน ปรับตัวขึ้น 67 เซนต์ หรือ 1% แตะที่ระดับ 67.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งเปิดฉากโจมตี “กลุ่มฮูตี” ในกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน เมื่อคืนวันเสาร์ (15 มี.ค.68) มีรายงานผู้เสียชีวิตกว่า 50 ราย
ขณะที่ เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวในวันอาทิตย์ (16 มี.ค.68) เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมน ระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์กับมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฝ่ายต่อสายหาลาฟรอฟเพื่อแจ้งให้ทราบถึงการตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่เปิดปฏิบัติการทางทหารต่อกลุ่มฮูตีในภูมิภาคทะเลแดง โดยลาฟรอฟ ตอบกลับให้เห็นถึงความจำเป็นยุติการใช้กำลัง
นักวิเคราะห์ตลาดพลังงาน ระบุว่า การโจมตีดังกล่าวอาจทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางตึงเครียดมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันเสถียรภาพของตลาดน้ำมันโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางเดินเรือในทะเลแดง ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางไปยังยุโรปและเอเชีย
นอกจากนี้ ยังกังวลว่าการตอบโต้จากกลุ่มฮูตีอาจทำให้ความขัดแย้งลุกลาม ส่งผลให้ซัพพลายน้ำมันหยุดชะงักและราคาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ท่าทีของมหาอำนาจโลกอย่างรัสเซียที่เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติปฏิบัติการ อาจเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางตลาดพลังงานในช่วงถัดไป
ขณะเดียวกัน บรรดานักลงทุนและเทรดเดอร์ ยังคงเฝ้าติดตามสัญญาณจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และสหรัฐฯ ว่า จะมีมาตรการรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร โดยเฉพาะการปรับกำลังการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันในตลาดโลก