
6 หุ้นรับเหมา-เทคฯ-โรงไฟฟ้าบวกคึก! รับ BOI ไฟเขียวแผนลงทุน “ดาต้าเซ็นเตอร์” แสนล้าน
6 หุ้นรับเหมา-เทคฯ-โรงไฟฟ้าบวกคึก! รับ BOI ไฟเขียวแผนลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ 3 โครงการ กว่า 1 แสนล้านบาท ด้านโบรกฯแนะนำเก็งกำไร 8 หุ้นรับประโยชน์ดาต้าเซ็นเตอร์ อาทิ INSET-STECON-GULF-GUNKUL-BGRIM-GPSC-GABLE-BBIK
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(18 ม.ค.68) ราคาหุ้นบริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET ณ เวลา 10:51 น.อยู่ที่ระดับ 2.22 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 3.74% ราคาสูงสุด 2.22 บาท ราคาต่ำสุด 2.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 6.66 ล้านบาท
บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ณ เวลา 10:58 น.อยู่ที่ระดับ 5.50 บาท บวก 0.15 บาท หรือ2.80% ราคาสูงสุด 5.55 บาท ราคาต่ำสุด 5.40 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 42.72 ล้านบาท
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ณ เวลา 11:03 น.อยู่ที่ระดับ 49.25 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 1.55% ราคาสูงสุด 49.50 บาท ราคาต่ำสุด 48.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 398.94 ล้านบาท
บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ณ เวลา 11:05 น.อยู่ที่ระดับ 1.66 บาท บวก 0.22 บาท หรือ 1.22% ราคาสูงสุด 1.67 บาท ราคาต่ำสุด 1.64 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 7.64 ล้านบาท
บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ GABLE ณ เวลา 11:06 น.อยู่ที่ระดับ 3.66 บาท บวก 0.24บาท หรือ 7.02% ราคาสูงสุด 3.74 บาท ราคาต่ำสุด 3.42 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 13.57 ล้านบาท
บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ณ เวลา 11:02 น. อยู่ที่ระดับ 30.25 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.54% ราคาสูงสุด 30.25 บาท ราคาต่ำสุด 29.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.20 ล้านบาท
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญขนาดใหญ่ 4 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุน 109,210 ล้านบาท
รวมทั้งโครงการ Data Center จำนวน 3 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่ (1) บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ที่เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (2) บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (3) บริษัทในเครือ Empyrion Digital ประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
“Data Center ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับรองรับความต้องการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI การที่มีบริษัทระดับโลกเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทย ก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน นอกจากจะส่งเสริมให้ไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าถึงบริการของศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง และมีความเสถียรในการให้บริการดิจิทัล ลดต้นทุนบริษัทในการทำศูนย์ข้อมูลของตนเอง ช่วยรักษาข้อมูลสำคัญให้ถูกเก็บและประมวลผลในประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคง ช่วยสนับสนุนการใช้แอปพลิเคชันและเทคโนโลยีดิจิทัลในการยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ
อีกทั้ง จะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโทรคมนาคม สาธารณูปโภค พลังงาน อุปกรณ์ไอที บริษัทก่อสร้างและวางระบบขั้นสูง System Integrator ด้านต่าง ๆ รวมถึงช่วยสร้างงานที่มีคุณค่าสูงให้กับคนไทย เช่น ผู้ดูแลระบบโครงข่าย งานด้านวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และงานสนับสนุนด้านไอที” นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565-2567) มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service จำนวน 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.9 แสนล้านบาท
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ DSA DC เฟสแรก จังหวัดสมุทรปราการของกัลฟ์ ขนาด 25 เมกะวัตต์ จะเปิดให้ดำเนินการในเดือน เม.ย.นี้ โดยปัจจุบันมีลูกค้าจองเต็มแล้ว จะทยอยเปิดไปจนครบทั้งหมดภายในปีนี้ ทั้งนี้บริษัทจะรับรู้รายได้ปีละประมาณ 2.5 พันล้านบาท
ส่วนดาต้าเซ็นเตอร์เฟสสอง จังหวัดชลบุรี ขนาด 35 เมกะวัตต์ ที่เพิ่งได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ขณะนี้มีลูกค้าจองเข้ามาแล้ว 10 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในปี 2569 และอยู่ระหว่างพิจารณาก่อสร้างในเฟสต่อไป
“เฟสสองเราคาดว่าจะสามารถขยายขนาดเพิ่มอีก 50 เมกะวัตต์ เนื่องจากมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการขยายดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นางสาวยุพาพิน กล่าว
สำหรับการเปิดบริการศูนย์ข้อมูล DSA DC (data Center) เป็นหนึ่งในแผนงานที่ช่วยหนุนผลประกอบการของบริษัทในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตอย่าง “ก้าวกระโดด” หลังจากการควบรวมระหว่าง GULF และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เสร็จสิ้น
นอกจากนี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 3/2568 ซึ่งอนุมัติการจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH วันที่ 25 มีนาคม 2568 เวลา 15.30 น. เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัทระหว่างบริษัทฯ และ INTUCH
ภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมและการจดทะเบียนการควบบริษัทแล้วเสร็จ บริษัทฯ และ INTUCH จะสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทมหาชนจำกัดขึ้นใหม่ (“NewCo”) โดย NewCo จะยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้รับหุ้นของ NewCo เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนที่หุ้นของบริษัทฯ และ INTUCH ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่ง NewCo จะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์เดียวกันกับบริษัทฯ (กล่าวคือ GULF) ในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังกล่าว
ดังนั้น เพื่อให้ NewCo สามารถใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์เดียวกันกับบริษัทได้ บริษัทจึงขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทเป็น GULFI โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Data Center ที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอในครั้งนี้ มูลค่ากว่าแสนล้านบาท กลุ่มแรก ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ อาทิ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET, บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON
กลุ่มโรงไฟฟ้า อาทิ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และกลุ่มวางระบบ Cloud อาทิ บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) หรือ GABLE, บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK โดยเฉพาะกัลฟ์จะได้ประโยชน์มากสุด จากการเปิดดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์ในกลุ่ม และขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กับโครงการ
ส่วนราคาหุ้น GULF และ INTUCH ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นวานนี้ (17 มี.ค. 2568) คาดว่าจะมาจากการเข้ามาเก็งกำไรหุ้นทั้งสองบริษัทดังกล่าวก่อนหยุดซื้อขายในวันที่ 21 มี.ค.นี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีแรงเทขายออกมามาก ทำให้ราคาหุ้นมีอัพไซด์เพิ่มขึ้นกว่า 40% จากราคาเป้าหมาย และหากถือยาวไปจนกลับมาเทรดใหม่ในวันที่ 3 เม.ย. 2568 โอกาสที่จะทำกำไรจากราคาหุ้น GULF ใหม่ก็มีสูง เนื่องจากกลุ่มที่ขายหุ้นออกไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกองทุน จะกลับมาซื้อหุ้นกัลฟ์ ทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แรงซื้อกลับมีโอกาสสูง ถ้าคิดจากราคากระดานปัจจุบัน เทียบกับราคาเป้าหมายแล้ว หุ้น GULF (ราคาเป้าหมาย 75 บาท), INTUCH (ราคาเป้าหมย 123 บาท) จะมีอัพไซด์กว่า 40%”
โดยราคาเป้าหมายของหุ้น GULF หลังเข้ามาเทรดวันที่ 3 เม.ย.นี้ จะอยู่ที่ 72 บาท ถือเป็นหุ้นโกรทสต๊อก
สำหรับแผนการเติบโตบริษัทใหม่ปี 2568 คาดว่าจะเติบโต 25-30% ซึ่งมองว่าในปีถัดไปจะมีการเติบโตต่อเนื่อง เพราะจะมีโอกาสเติบโตใหม่ ๆ เข้ามา การควบรวมครั้งนี้จะทำให้บริษัทใหม่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น DE ratio คาดว่าจะต่ำลงจาก 1.8 เท่า เป็น 0.8 เท่า
ขณะที่ วานนี้ (17 มี.ค. 2568) ราคาหุ้น GULF ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.74% มาปิดที่ 48.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1,397 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้น INTUCH ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.62% มาปิดที่ 78.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 574 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเมินพื้นฐานบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON หลังจากได้งานโครงการใหญ่ กูเกิล ก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์จำนวน 2 โครงการ CHN-1A และ CHN-2A มูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาท ว่า พื้นฐานบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะมูลค่างานในมือ (Backlog) จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 แสนล้านบาท จากเดิม 1.1 แสนล้านบาท
สำหรับเป้าหมายเดิมที่ฝ่ายวิจัยทำไว้ มองกำไรปีนี้ที่ 796 ล้านบาท จากสมมติฐานรายได้ที่ 3.18 หมื่นล้านบาท นักลงทุนรอการปรับประมาณการใหม่อีกครั้ง ส่วนในแง่ของกลยุทธ์การลงทุนยังคงแนะนำ “ซื้อ” เป้าหมายเดิม 7.80 บาท โดยราคาหุ้น STECON ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.94% มาปิดที่ 5.35 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 152.89 ล้านบาท