แชมป์ตลาดหุ้นอาเซียนพลวัต 2016

มาร์ก โมเบียส ผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ในฮ่องกง Templeton Emerging Funds บอกว่าให้เข้าซื้อหุ้นจีนในยามที่ตลาดกำลังเริ่มตั้งไข่ท่ามกลางความผันผวน เพราะจะมีโอกาสทำไรได้ดีกว่า แต่ให้ถอนตัวออกจากตลาดหุ้นอินโดนีเซียโดยเร็ว เพราะราคาหุ้นวิ่งเร็วกว่าผลประกอบการจนค่าพี/อีของตลาดสูงลิ่ว


พลวัตปี 2016 : วิษณุ โชลิตกุล

 

มาร์ก โมเบียส ผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ในฮ่องกง  Templeton Emerging Funds บอกว่าให้เข้าซื้อหุ้นจีนในยามที่ตลาดกำลังเริ่มตั้งไข่ท่ามกลางความผันผวน เพราะจะมีโอกาสทำไรได้ดีกว่า แต่ให้ถอนตัวออกจากตลาดหุ้นอินโดนีเซียโดยเร็ว เพราะราคาหุ้นวิ่งเร็วกว่าผลประกอบการจนค่าพี/อีของตลาดสูงลิ่ว

คำกล่าวดังกล่าว หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน คงมีคนขยับตัวทำตามไม่น้อย แต่ยามที่โมเบียส กำลังเสื่อมอิทธิพลเพราะ 2 ปีมานี้ กองทุนที่เขาบริหารอยู่ไม่สามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในการลงทุนได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ขาดทุนป่นปี้ ทำให้คนถือหน่วยระอาไม่กล้าเข้ายุ่งเกี่ยวด้วย

ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์หน้าใหม่จำนวนไม่น้อยที่ถือเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง กลับคิดตรงกันข้าม มองว่า อินโดนีเซียคือความหวังใหม่ของตลาดอาเซียน เพราะมีอนาคตสดใสภายใต้การนำด้านนโยบายของประธานาธิบดี โจโก้ วิโดโด้

หากมองในด้านเศรษฐกิจ ผู้จัดการกองทุนจะมองว่าเวียดนามเยี่ยมยอดสุดในอาเซียน แต่หากเป็นตลาดหุ้น ต้องเป็นตลาดอินโดนีเซียเพราะล่าสุด แม้ว่า ดัชนี JKSE ของตลาดดังกล่าวจะพุ่งสูงขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบ 7 เดือน แต่ก็ยังถือว่า ไม่ได้สูงจนน่ากังวลแต่อย่างใด เมื่อพิจารณาจากพื้นฐานของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และพื้นฐานเศรษฐกิจของอินโดนีเซียเองในภาพรวม

มุมมองเชิงบวกของกองทุนต่างชาติจะเห็นได้จากนับแต่เดือนกันยายนซึ่งเป็นเดือนที่ดัชนี JKSE ต่ำสุดในรอบปี มีเงินไหลกลับเข้าตลาดหุ้นอินโดนีเซียสุทธิมากถึง 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกซื้อที่ถูกจังหวะเพราะดัชนีตลาดดังกล่าวบวกเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดจนถึงปัจจุบันมากประมาณ 16%

การวิ่งขึ้นของดัชนีตลาด และการไหลเข้าของทุนต่างชาติ เป็นเรื่องแปลก เพราะว่าเกิดขึ้นในขณะที่ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียกำลังลดค่าลงต่ำสุดในรอบ 17 ปี เมื่อเทียบกับค่าดอลลาร์สหรัฐ และการไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ในเอเชียเป็นวงเงินมากถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

คำถามก็คือ เมื่อดัชนีสิ้นปีของตลาดจาร์กาตา บวกไป 3.8% แต่สวนทางกับผลประกอบการเฉลี่ยของบริษัทที่ถดถอยลงเล็กน้อย ทำให้ค่าพี/อีเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ระดับ 26 เท่า มากกว่าเกือบ 2 เท่า ของดัชนี MSCI เขตเอเชียแปซิฟิก ที่ค่าพี/อีอยู่ที่ระดับ 15 เท่า จะบ่งชี้ว่า ราคาหุ้นในตลาดอินโดนีเซียแพงเกินไปหรือเต็มเพดานได้หรือไม่

คำตอบย่อมไม่เป็นเอกฉันท์ เพราะว่า ส่วนหนึ่งที่นำโดยมาร์ก โมเบียส ก็บอกว่า ค่าพี/อีที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยของ MSCI เหมาะสำหรับการถอนตัวจากไปมากกว่า เนื่องจากการหวังพึ่งว่าราคาหุ้นก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเมกะโปรเจ็กต์สาธารณูปโภคสารพัดที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของประเทศ จะวิ่งต่อไปยาวๆ ต่อเนื่อง เป็นความหวังที่เลื่อนลอย เพราะกว่าจะรับรู้รายได้จากโครงการที่มีเวลาก่อสร้างระยะยาว ต้องรอไปอีกนานหลายปีทีเดียว

ส่วนคนที่มองตรงกันข้ามก็มีมุมมองอีกขั้วหนึ่งเป็นธรรมดา พวกเขาเชื่อว่า การเติบโตของจีดีพีในระดับหัวแถวของชาติอาเซียน การบริหารความขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์ในสังคมสามารถกระทำโดยสันติและมีอารยะมากกว่าในยุคกองทัพครองเมือง และเงินเฟ้อที่ลดลงต่อเนื่อง แม้จะยังสูงที่สุดชาติหนึ่งในอาเซียน เป็นแนวโน้มที่ทำให้เห็นชัดเจนว่าโอกาสของการทำกำไรในอนาคตของหุ้นยังมีช่องทาง ดีกว่าการเข้าลงทุนในตลาดที่มีความผันผวนสูง และนโยบายรัฐไม่แน่นอน เพราะอาจจะมีความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้เข้ามาทำให้ยุ่งยากอีก

จุดเด่นอีกอย่างที่นักลงทุนต่างชาติประเมินไว้สูงมาก อยู่ที่การเปิดตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทำให้อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่สุดในอาเซียน จะมีโอกาสเติบโตจากการบริโภคที่เฟื่องฟูอย่างมาก หุ้นสินค้าบริโภคและค้าปลีก หรือโลจิสติกส์ เป็นหุ้นที่ถูกต่างชาติพากันทยอยเข้าจับจองถือเอาไว้ เพื่อหวังว่าจะได้รับทั้งเงินปันผล และส่วนต่างของราคาที่งดงามทั้งสองทาง

หุ้นที่โดดเด่นมากที่สุดในปีที่ผ่านมาของอินโดนีเซียคือ หุ้นของ ซี พี อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์รายใหญ่สุดของประเทศ ราคาวิ่งแรงมากถึง 38% ตามมาด้วยหุ้นธนาคารอย่าง PT Bank Danamon Indonesia ที่ทำสถิตินิวไฮ และ PT Astra International ที่ทำสถิติวิ่งยาวไม่มีลงเลยนานถึง 5 เดือน

 ในปีที่ผ่านมา อินโดนีเชีย มีจีดีพีโตมากถึง 5.04% เป็นรองเพียงเวียดนามเท่านั้นในชาติอาเซียน และที่มีปัญหาให้ต้องแก้ปัญหาหลักคือเงินเฟ้อที่เริ่มลดลงไปมากแล้ว โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 7% แต่คาดว่าจะเริ่มลดลงตามทิศทางของธนาคารกลาง

กุญแจสำคัญอีกเรื่องของการใช้นโยบายการคลัง ทุ่มงบประมาณก่อสร้างเมกะโปรเจ็กต์สาธารณูปโภคอย่างจริงจัง

บนพื้นฐานที่ไปได้ดีนี้ อุปสรรคที่ยังหลงเหลืออยู่ซึ่งผู้จัดการกองทุนต่างชาติมองอินโดนีเซียด้วยความระมัดระวังมากกว่าปกติคือ การที่ยังมีกฎหมายและระเบียบทางรัฐคร่ำครึที่ต้องการแก้ไขอีกมาก เนื่องจากกระบวนการทางรัฐสภาในการแก้ไขกฎหมายทำได้อืดอาดมาก จากการต่อรองของนักการเมืองในรัฐสภา

ที่ปรากฏเป็นข้อเท็จจริงให้น่าขายหน้ามากที่สุดคือ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา มีร่างกฎหมายประกาศมาบังคับใช้ใหม่ได้เพียงแค่ 3 ฉบับเท่านั้น ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีเลยทีเดียว แต่กองทุนต่างชาติก็เชื่อว่า จุดนี้น่าจะได้รับการปรับปรุงให้กระชับมากกว่าเดิม เพราะดูเหมือนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในอินโดนีเซียรับทราบและตระหนักดี

ความโดดเด่นนี้ไม่แปลกที่เมื่อเร็วๆนี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทย ถึงกับต้องไปเยี่ยมเยือนและดูงาน แลกเปลี่ยนความรู้กันและกัน แต่ที่สำคัญก็คือ ความร้อนแรงของตลาดอินโดนีเซียนี้เพิ่งจะเริ่มต้น

เบื้องหลังของความรุ่งเรืองยามนี้ของตลาดหุ้นอินโดนีเซีย บ่งชี้ว่าลำพังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างเดียว ไม่เพียงพอจะดึงดูดให้นักลงทุนเข้าลงทุนเสมอไป ต้องมีองค์ประกอบแวดล้อมที่เหมาะสมด้วยเสมอ 

Back to top button