SCB EIC ห่วง “แผลเป็นเศรษฐกิจไทย” เจอศึกหนัก รับมือ “ทรัมป์ 2.0” ไม่ง่าย

SCB EIC เตือนเศรษฐกิจไทยปี 2568 โตเพียง 2.4% ฟื้นตัวล่าช้า ติดกลุ่มท้ายของโลก ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายกีดกันการค้าของ “ทรัมป์ 2.0” กระทบส่งออก-ลงทุน ขณะที่ “แผลเป็นเศรษฐกิจ” จากโควิดยังถ่วงการเติบโต แนะเร่งสร้างความเข้มแข็งจากภายใน รับมือความผันผวนระลอกใหม่


วันนี้ (18 มี.ค.68) นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่ 2 อาจเป็นตัวเร่งให้ความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในด้านการค้า การลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อการดำเนินงานของภาคธุรกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

SCB EIC คาดการณ์ว่า สหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ จะดำเนินนโยบายการค้าลักษณะคาดการณ์ยาก พร้อมเปลี่ยนแปลงตามกลยุทธ์การต่อรอง คาดว่าสหรัฐฯ จะเลือกใช้นโยบายขึ้นภาษีศุลกากรแบบเฉพาะเจาะจง (Specific Tariffs) แทนที่จะเป็นภาษีศุลกากรแบบเหมารวม (Universal Tariffs) ที่เคยหาเสียงไว้ ซึ่งอาจมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมหลัก เช่น รถยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม สินค้าจากประเทศจีนและแคนาดา

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจฯ แห่งนี้ ประเมินว่า หากสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าตามคาด อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นราว 11% และหากประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีเช่นกัน อาจกระทบเศรษฐกิจโลกให้หดตัวลง 1.3% พร้อมกับเร่งเงินเฟ้อโลกให้เพิ่มขึ้น 0.5% ในระยะปานกลาง

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบโดยตรงน้อยกว่า แต่ต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าจะทำให้เงินเฟ้อในประเทศเร่งตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยให้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องปรับลดดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ

สำหรับ เศรษฐกิจไทย ปี 2568 SCB EIC ยังคงมุมมองการขยายตัวที่ 2.4% ในปี 2568 ลดลงจาก 2.5% ในปีก่อน แม้จะได้รับแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่เหลือ แต่ผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม

SCB EIC เตือนว่า การพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ไทยมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ มากขึ้น โดยการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมด

ขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากจีน ซึ่งกำลังเร่งลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และกระจายการส่งออกไปยังประเทศอื่น ส่งผลให้ไทยต้องเผชิญสินค้าจีนที่ไหลทะลักเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าทุนและวัตถุดิบ ซึ่งอาจกระทบต่อภาคการผลิตในประเทศ

SCB EIC ยังตั้งข้อสังเกตว่า กรณีเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก จากทั้งหมด 180 ประเทศ โดยไทยยังอยู่ในกลุ่มท้าย ๆ ในแง่ของอัตราการฟื้นตัว ซึ่งสะท้อนถึง “แผลเป็นโควิด” ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม แม้เศรษฐกิจไทยจะเคยเติบโตในระดับ 3% ต่อปี ก่อนโควิด แต่ในช่วง 4 ปีหลังโควิด กลับเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.1% เท่านั้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสูญเสียมูลค่ารวมกว่า 6 ล้านล้านบาท

4 ปัจจัยหลักที่กดดันเศรษฐกิจไทย ได้แก่

  • ภาคธุรกิจเปราะบาง – ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากยังคงเป็น “บริษัทผีดิบ” (Zombie Firms) ที่ฟื้นตัวได้ช้า
  • ตลาดแรงงานไม่สมดุล – แรงงานนอกระบบเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มในระบบเกือบ 50%
  • ภาคครัวเรือนเผชิญหนี้สูง – หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ยังคงอยู่ในระดับเกือบ 90%
  • ความสามารถทางการคลังอ่อนแอ – หนี้สาธารณะเข้าใกล้เพดาน 70% ของ GDP ทำให้รัฐมีข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

SCB EIC ประเมินว่า ในปีนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง เพื่อลดแรงกดดันจากภาวะการเงินที่ตึงตัว และผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจลดลงไปอยู่ที่ 1.5% ภายในสิ้นปี

ทั้งนี้ SCB EIC แนะนำให้ภาคธุรกิจไทยเตรียมรับมือแรงกดดันจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผ่านกลยุทธ์ “4P” ได้แก่

  • Product – พัฒนาสินค้าให้มีความแตกต่างและเพิ่มมูลค่า
  • Place – กระจายตลาด ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
  • Preparedness – บริหารความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานและการเงิน
  • Productivity – เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สามารถแข่งขันในระยะยาว

รายงานฉบับนี้ทิ้งท้ายว่า ไทยต้อง “เร่งสร้างความเข้มแข็งจากภายใน” ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และการดำเนินนโยบายที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หากไทยไม่สามารถปรับตัวได้เร็วพอ เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญกับภาวะเติบโตต่ำต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ประชาชนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

Back to top button