
ทองคำพุ่ง 34.70 เหรียญ “นิวไฮ” รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย เจอวิกฤตตะวันออกกลาง-ภาษีสหรัฐ
ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กพุ่ง 34.70 เหรียญ ปิดที่ 3,040.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงและนโยบายภาษีของสหรัฐฯ สร้างแรงกดดันต่อตลาด นักลงทุนจับตาผลประชุมเฟดและแนวโน้มเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 มี.ค. 68) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันอังคาร (18 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางและความไม่แน่นอนด้านการค้าจากมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 34.70 ดอลลาร์ หรือ 1.15% ปิดที่ 3,040.80 ดอลลาร์/ออนซ์
สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงตึงเครียด หลังจากกองทัพอิสราเอลกลับมาโจมตีฉนวนกาซา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 400 ราย และถือเป็นการยุติข้อตกลงหยุดยิงระยะเวลา 2 เดือนกับกลุ่มฮามาส ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเดินหน้าโจมตีกลุ่มฮูตี จนกว่าจะยุติการโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง พร้อมเตือนว่าอิหร่านต้องรับผิดชอบต่อการโจมตีใด ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคตจากกลุ่มฮูตี
นอกจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์แล้ว นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ยังคงเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก โดยทรัมป์ได้ประกาศเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือนก.พ. และเตรียมใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทาน
นักวิเคราะห์จาก ANZ คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะพุ่งแตะระดับ 3,100 ดอลลาร์ภายใน 3 เดือน ขณะที่ UBS ตั้งเป้าราคาทองที่ระดับ 3,200 ดอลลาร์ในปีนี้ นักลงทุนยังจับตาผลการประชุมเฟดที่จะมีการประกาศในวันพุธ (19 มี.ค.) ตามเวลาสหรัฐฯ รวมถึงถ้อยแถลงของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล และรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อัตราว่างงาน และอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทิศทางราคาทองคำในระยะต่อไป