BEM ดีด 5% คลายกังวล “ทางด่วนดาวคะนอง” ทรุดกระทบจำกัด 0.03% โบรกชูเป้า 10.30 บาท

BEM เด้ง 5% หลังคลายกังวลแพนิกทางด่วนดาวคะนองทรุดกระทบน้อยมากแค่ 0.03% จากจำนวนผู้ใช้ทางด่วนภาพรวม โบรกฯ คาดธุรกิจทางด่วนปีนี้ทรงตัว โดยให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 10.30 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (18 มี.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ณ เวลา 10:46 น. อยู่ที่ระดับ 5.65 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 4.63% สูงสุดที่ระดับ 5.65 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 125.04 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมา ตอบรับข่าว ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ BEM กล่าวว่า ในส่วนของนักลงทุนที่อาจเกิดความกังวล BEM ขอชี้แจงว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีผลกระทบต่อบริษัทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากปริมาณจราจรที่ด่านดังกล่าวคิดเป็นเพียง 0.03% ของปริมาณจราจรรวม อีกทั้งปัจจุบันการทางพิเศษแห่งประเทศไทยก็เริ่มเปิดด่านให้บริการแล้ว และมีทางเลือกให้เข้าทางด่วนที่ด่านใกล้เคียงอื่น ๆ แทน ขอให้มั่นใจว่าจะไม่มีผลต่อการดำเนินงานของบริษัท

ทั้งนี้บริษัทขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์สะพานก่อสร้างทรุดตัวช่วงหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษดาวคะนอง เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และส่งผลกระทบด้านการจราจรกับผู้ใช้ทาง บริษัทเชื่อมั่นว่าภาครัฐจะสามารถแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาผลกระทบได้อย่างรวดเร็ว สำหรับทางพิเศษศรีรัชเชื่อมต่อกับทางพิเศษเฉลิมมหานครบริเวณต่างระดับบางโคล่ ที่ BEM ดูแลยังสามารถสัญจรได้ตามปกติ

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BEM เช่นกัน โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 9.10 บาท โดยมองว่าปัญหาคานสะพานก่อสร้างทางพิเศษพระราม 3  ทรุดตัวนั้น มิได้ส่งผลกระทบต่อ BEM มากนัก เนื่องจากมีการปิดบริการที่ด่านดาวคะนอง (ขาเข้า) แค่ 2 วัน คือวันที่ 15-16 มีนาคมที่ผ่านมา และขณะนี้ได้เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งทาง BEM ก็ได้ชี้แจงมาด้วยว่า การปิดด่านดาวคะนองขาเข้าดังกล่าวทำให้ผู้ใช้ทางด่วนไม่สามารถใช้ด่านดาวคะนองในการเชื่อมต่อไปยังทางด่วนสายอื่น แต่ก็ยังสามารถใช้ด่านอื่น ๆ แทนด่านดาวคะนองได้ จึงส่งผลกระทบแค่เล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม บล.กรุงศรีฯ ประเมินว่า จำนวนผู้ใช้ทางด่วนภาพรวมในปี 2568 ของ BEM นั้น น่าจะยังทรงตัวต่อไป โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.1 ล้านคันต่อวัน (ก่อนสถานการณ์โควิด เฉลี่ยอยู่ที่ 1.2 ล้านคันต่อวัน) เนื่องจากยังมีปัจจัยระยะสั้นและระยะยาวที่ส่งผลกระทบ โดยปัจจัยระยะสั้น คือ การก่อสร้างทางด่วนพระราม 3ฯ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งจะกระทบช่วงด่านดาวคะนอง และการซ่อมบำรุงด่านประชาชื่น

โดยทั้ง 2 กรณีนี้น่าจะเสร็จสิ้นในปี 2569 ส่วนปัจจัยระยะยาว คือ การที่รูปแบบการทำงานหลังสถานการณ์โควิดได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว โดยเป็นรูปแบบการทำงานในบริษัทผสมกับการทำงานนอกสถานที่ (work from home) รวมทั้งกรณีที่นักท่องเที่ยวชาวจีนยังไม่กลับมาเทียบเท่าก่อนโควิด

ส่วนธุรกิจรถไฟฟ้า คาดว่าปีนี้ผู้โดยสารจะเติบโตประมาณ 5-7% จากปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.27 แสนเที่ยวคนต่อวัน และน่าจะเติบโตเฉลี่ยแบบนี้อย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยเป็นการโตบนฐานที่เติบโตขึ้น แต่เนื่องจากสัดส่วนรายได้รถไฟฟ้านั้นอยู่ที่ 40% ทางด่วน 60% ดังนั้นการเติบโตของรถไฟฟ้าก็อาจไม่ช่วยรายได้ภาพรวมของ BEM มากนัก โดย บล.กรุงศรีฯ ประเมินว่า ในปี 2568 รายได้รวมจะเติบโต 3% จากปีก่อนที่ BEM มีรายได้ 17,004 ล้านบาท  ขณะปัจจัยบวกที่สำคัญสุดที่จะช่วยให้ BEM มีปัจจัยหนุนแน่นอน คือ การซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าที่ต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาล

นายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์ลงทุนด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึงเหตุคานสะพานก่อสร้างทรุดตัวบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษดาวคะนองของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก สัญญาที่ 3 เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ได้ส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถใช้ทางด่วนบริเวณด่านดาวคะนองขาเข้า ต้องรอให้เคลียร์พื้นที่ก่อน คาดว่าจะใช้เวลา 7 วัน ทำให้ปริมาณจราจรบนทางด่วนลดลง จากปกติมีการใช้งาน 3 หมื่นคัน/วันสำหรับด่านดาวคะนอง

ขณะที่ด่านดาวคะนองขาออก ซึ่งไม่มีการเก็บค่าผ่านทาง ก็ได้รับความเสียหาย ตัวโครงสร้างที่จะต้องซ่อมแซม คาดว่าต้องใช้เวลา 30 วัน อย่างไรก็ดี ผู้ใช้บริการสามารถไปใช้งานด่านสุขสวัสดิ์แทนได้ จึงอาจไม่ได้รับผลกระทบทั้ง 100%

อย่างไรก็ตาม จากเหตุดังกล่าวคาดว่า BEM  จะได้รับผลกระทบเพียงระยะสั้น  โดยปี 2568 ธุรกิจทางด่วนยังรับผลกระทบจากการก่อสร้างทางพิเศษพระราม 3-ดาวคะนองที่ยังไม่แล้วเสร็จ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน C (ประชาชื่น-แจ้งวัฒนะ) ที่รับรถต่อมาจาก C+ (ทางพิเศษบางปะอิน-ปากเกร็ด) ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงถนนบางปะอิน ทำให้ผู้ใช้ทางไม่สะดวก จึงคาดว่าปริมาณจราจรทางด่วนในปี 2568 อาจไม่เติบโต หรือทรงตัวที่ระดับ 1.1-1.2 ล้านคัน/วัน ซึ่งช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 ผู้ใช้ทางด่วนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.11 ล้านคัน/วัน ลดลง 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้ 25.42 ล้านบาท/วัน ลดลง 0.9%

ส่วนธุรกิจรถไฟฟ้าเติบโตดี โดยในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ. 2568) ปริมาณผู้ใช้รถไฟฟ้าอยู่ที่ 4.72 แสนคน/วัน เพิ่มขึ้น 8.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้ 13.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% แต่เนื่องจากปีนี้เดือนกุมภาพันธ์มี 28 วันเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ 29 วัน ในแง่ของภาพรวมของรายได้รถไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 11.4% โดยค่าโดยสารเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4.5% เป็น 28.51 บาทจาก 27.28 บาท

อย่างไรก็ตาม เดือนมีนาคม 2568 ได้เข้าสู่ช่วงปิดภาคเรียน ผู้ใช้รถไฟฟ้าจะชะลอตัวจากเดือนกุมภาพันธ์ แต่ยังเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหนุนจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติช่วง 27 มีนาคม-7 เมษายน 2568 โครงการอสังหาริมทรัพย์รอบ ๆ มีเพิ่มขึ้น เช่น โครงการ One Bangkok โครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค เป็นต้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 10.30 บาท

Back to top button