ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท “พายุหมุนเศรษฐกิจ” หรือแค่ “สายลม” ที่พัดผ่าน?

ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลไทย หวังจะเป็น “พายุหมุน” ที่พัดผ่านเศรษฐกิจไทยให้สดใสขึ้น แต่คำถามสำคัญคือ มาตรการนี้จะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่แท้จริงได้หรือไม่? หรือจะกลายเป็นแค่ “พายุฝุ่น” ที่พัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว?


โครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เรียกว่าเป็นโครงการที่หมายมั่นปั้นมือของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่สมัยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เรื่อยมาจนถึงยุคของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อภาครัฐอัดเม็ดเงินเข้าสู่ฐานรากของระบบเศรษฐกิจของประเทศ จะเกิดการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของประชาชนกว่า 50 ล้านคน จนกลายเป็น “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ”

แต่ทว่าเส้นทาง “เงินหมื่น” ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยคิดไว้ กลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกอย่างดูเหมือนจะผิดแผนไปเสียทั้งหมด จากเดิมที่ตั้งใจแจกเงินให้ประชาชนคราวเดียว 50 ล้านคน เปลี่ยนเป็นการปรับให้ในรูปแบบเฟสต่าง ๆ อาทิ

  • เฟสแรก (25 ก.ย. – 19 ธ.ค.67) แจกให้กลุ่มเปราะบาง ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ รวม 14.5 ล้านคน ใช้งบประมาณ 1.45 แสนล้านบาท
  • เฟส 2 (27 ม.ค.68) แจกให้ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 02 ล้านคน ใช้งบประมาณ กว่า 30,000 ล้านบาท
  • เฟส 3 (คาด มิ.ย.68) แจกให้ วัยรุ่นอายุ 16-20 ปี 7 ล้านคน ใช้งบประมาณ 27,000 ล้านบาท

คำถามที่ตามมาและหลายคนยังมีความสงสัยนั้นคือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ทยอยแจกแบบกะปริบกะปรอย สามารถกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงไร

โดยเฉพาะในกลุ่มล่าสุด ซึ่งสังคมพากันเรียก “เงินหมื่น เฟส 3” ว่า “เงินหมื่นเฟสวัยรุ่น” รัฐบาลให้เหตุผลที่แจกเงินคนกลุ่มนี้ก่อนว่า เป็นกลุ่มที่ตื่นรู้ทางเทคโนโลยี เพราะการแจกครั้งนี้ต้องรับเงินผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ไม่ใช่รับเงินสดเหมือน 2 เฟสแรก

จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตรงตามเป้าที่รัฐบาลตั้งใจไว้หรือไม่?

เสียงสะท้อนจากนักเศรษฐศาสตร์ “แจกเงินหมื่น” เป็นผลบวก แต่อาจยังไม่ตรงจุด

(บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการและ Chief Economist บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด)

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการและ Chief Economist บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ความเห็นกับทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า มาตรการรอบล่าสุดในกลุ่มอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน รวมเป็นงบประมาณ 27,000 ล้านบาท อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้างแต่ผลลัพธ์อาจไม่สูงมากนัก และต้องพิจารณาเงื่อนไขของมาตรการอย่างละเอียด

นายบุรินทร์ กล่าวต่อว่า ปีที่แล้วการขยายตัวของเศรษฐกิจมาจากการบริโภคเป็นหลัก แต่มาตรการลักษณะนี้อาจยังไม่ตอบโจทย์ที่ประเทศกำลังต้องการ และไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาในระยะยาว ซึ่งการแจกเงินหมื่นเฟสที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในระดับที่มีนัยสำคัญ

นักเศรษฐศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ต้องการมากกว่าคือการการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง และการลงทุนที่ยังขาดไป ส่วนการบริโภคยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ การแจกเงินหมื่นมีผลเชิงบวก แต่อาจจะบวกได้เล็กน้อย และความคุ้มค่าของการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ต้องเทียบกับหลาย ๆ อย่างด้วย

การแจกเงินอาจเพิ่มการบริโภคในระยะสั้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าได้

นายบุรินทร์ อธิบายว่า “ตัวคูณทางเศรษฐกิจต่ำ (Multiplier Effect) หมายถึง เงินที่แจกไปไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับที่คาดหวัง เพราะถูกใช้ไปกับสินค้าและบริการที่ประชาชนซื้ออยู่แล้ว ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายหรือส่งเสริมการลงทุนในระบบ” โดยคาดว่าการอัดฉีดงบประมาณ 0.3% ของ GDP อาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 0.1% เท่านั้น

การแจกเงินเฟสก่อนหน้าส่งผลต่อ GDP เพียงเล็กน้อย

  • เฟส 1 มีแรงกระตุ้นสูงสุดราว 1% ของ GDP แต่ผลลัพธ์จริงอาจอยู่ที่ 0.3% ของ GDP
  • เฟส 2 มีผลกระทบต่อ GDP 0.03 – 0.05%
  • เฟส 3 น่าจะให้ผลลัพธ์ในระดับเดียวกันกับเฟส 2

อีกทั้งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งตกอยู่กับผู้เล่นรายใหญ่ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) มากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย

“พายุหมุนเศรษฐกิจอาจจะยาก ผลจากเฟสที่ผ่านมาเศรษฐกิจก็ยังซึมอยู่ ระยะสั้น ๆ ยอดค้าปลีกขยับขึ้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง”

นายบุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเชิงลบค่อนข้างสูง เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ประกอบกับปัจจัยภายนอกที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ดังนั้นโอกาสที่ GDP จะเติบโตตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ 3-3.5% อาจเป็นไปได้ยาก

สำหรับนักลงทุนแนะนำว่า หากต้องการลงทุนในตลาดหุ้น อาจพิจารณาหุ้นในกลุ่ม Modern Trade และค้าปลีก เช่น ห้างสรรพสินค้า, ร้านค้าสะดวกซื้อ, Makro, 7-Eleven และร้านคอมพิวเตอร์ ที่อาจได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

แจกเงินกระตุ้น GDP ได้ แต่ยังไม่พลิกฟื้นเศรษฐกิจ

สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงการคลัง นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และโฆษกกระทรวงการคลัง เคยให้ข้อมูลไว้ว่า เงินหมื่นเฟส 1 ช่วยให้ GDP ขยายตัว 0.3% ใกล้เคียงคาดการณ์ที่ 0.35%

ขณะที่รายงาน Thailand Economic Monitor ธันวาคม 2566 ของธนาคารโลก ได้วิเคราะห์ว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล คิดเป็นงบประมาณ 2.7% ของ GDP จะช่วยเศรษฐกิจขยายตัว 0.5-1.0% ของ GDP ในช่วงระยะเวลา 2 ปี และอาจทำให้ขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น 4-5% ของ GDP ใกล้ระดับเฉลี่ยช่วงวิกฤตโควิด ในปี 2563-2565

การเดินหน้าสู่เฟสที่ 3 ของมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภค แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “พายุหมุนเศรษฐกิจ” อย่างที่ตั้งเป้าไว้

Back to top button