“พาณิชย์” ลั่น 2 เดือนแรกปี 68 บริษัทจดทะเบียนใหม่ 1.64 หมื่นราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยข้อมูลการตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 ตั้งธุรกิจใหม่ 16,391 ราย ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย ขณะที่การเลิกกิจการเพิ่มขึ้น แต่ยังมีอัตราการตั้งธุรกิจใหม่สูงกว่า 7 เท่า สัญญาณดีสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 มี.ค.68) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,529 ราย ลดลง 579 ราย (-7.14%) เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 (8,108 ราย) และทุนจดทะเบียนรวม 16,335 ล้านบาท ลดลง 4,027 ล้านบาท (-19.78%) เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 (20,361 ล้านบาท)

ธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 628 ราย หรือ 8.34% ทุน 1,340 ล้านบาท
  2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 473 ราย หรือ 6.28% ทุน 2,117 ล้านบาท
  3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 339 ราย หรือ 4.50% ทุน 610 ล้านบาท

ด้านการจัดตั้งธุรกิจใหม่สะสม 2 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีจำนวน 16,391 ราย ลดลง 879 ราย (-5.09%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (17,270 ราย) ทุนจดทะเบียน 41,285 ล้านบาท ลดลง 4,509 ล้านบาท (-9.85%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (45,794 ล้านบาท)

ธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่ 2 เดือนแรก ปี 2568 สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่

1 ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 1,319 ราย หรือ 8.05% ทุน 2,762 ล้านบาท

2 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,085 ราย หรือ 6.62% ทุน 4,156 ล้านบาท

3 ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 675 ราย หรือ 4.12% ทุน 1,341 ล้านบาท

ส่วนการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีจำนวน 787 ราย เพิ่มขึ้น 81 ราย (11.47%) เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 (706 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 2,417 ล้านบาท ลดลง 730 ล้านบาท (-23.19%) เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 (3,146 ล้านบาท)

ธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 76 ราย หรือ 9.66% ทุน 112 ล้านบาท
  2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 35 ราย หรือ 4.45% ทุน 131 ล้านบาท
  3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 34 ราย หรือ 4.32% ทุน 96 ล้านบาท

ขณะที่สะสม 2 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีธุรกิจจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการจำนวน 2,218 ราย เพิ่มขึ้น 320 ราย (16.86%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (1,898 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 7,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 656 ล้านบาท (10.31%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (6,361 ล้านบาท)

ธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ 2 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์) สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 227 ราย หรือ 10.23% ทุน 375 ล้านบาท
  2. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 92 ราย หรือ 4.15%ทุน 274 ล้านบาท คิดเป็น
  3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 87 ราย หรือ 3.92% ทุน 289 ล้านบาท

สำหรับปัจจุบัน มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคล รวม 1,981,221 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.61 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 935,839 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.39 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 28 ก.พ.68) แบ่งเป็น

  1. บริษัทจำกัด 737,891 ราย หรือ 78.85% ทุนจดทะเบียนรวม 16.36 ล้านล้านบาท
  2. ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 196,465 ราย หรือ 20.99% ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท
  3. บริษัทมหาชนจำกัด 1,483 ราย หรือ 0.16% ทุนจดทะเบียนรวม 5.60 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้นิติบุคคล กลุ่มธุรกิจบริการ เป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุด มีจำนวน 505,501 ราย หรือ 54.02% ทุนจดทะเบียน 13 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 306,896 ราย หรือ 32.79% ทุน 2.54 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 123,442 ราย หรือ 13.19% ทุน 6.84 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ดีแม้ตัวเลขการจดทะเบียนนิติบุคคลในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาดูจะชะลอตัว เพื่อรอดูสถานการณ์และความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลก แต่หากวิเคราะห์ในเชิงลึกจะเห็นว่า อัตราการจัดตั้งธุรกิจต่อการจดเลิกในปี 2568 อยู่ที่ 7 ต่อ 1 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่า 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567) ที่มีสัดส่วน 4 ต่อ 1 หรือ ตั้ง 4 ราย เลิก 1 ราย

นอกจากนี้ นางอรมน เปิดเผยถึงการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ใน 2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568) มีจำนวน 181 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 41 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ140 ราย เงินลงทุนรวม 35,277 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ใน 2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568) มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 73 ราย (68%) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 8,738 ล้านบาท (33%)

ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น 38 ราย คิดเป็น 21% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 13,676 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเล ระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจบริการบริหารจัดการการสั่งซื้อและการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต
  2. จีน 23 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 5,113 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
  3. สิงคโปร์ 23 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,490 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนายางรถยนต์ ธุรกิจบริการ Data Center และ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า
  4. สหรัฐอเมริกา 19 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,372 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการสนับสนุนข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต
  5. ฮ่องกง 16 ราย คิดเป็น 9% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,587 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้า สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุถึงข้อมูลเฉพาะการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 2 เดือนแรกปีนี้  (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568) มีจำนวน 57 ราย คิดเป็น 31% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 22 ราย (63%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 17,546 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 19 ราย ลงทุน 8,096 ล้านบาท, จีน 14 ราย ลงทุน 2,751 ล้านบาท, สิงคโปร์ 8 ราย ลงทุน 2,191 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ  อีก 16 ราย ลงทุน 4,508 ล้านบาท

ธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้า แม่พิมพ์ที่ใช้สำหรับผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์และชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องทำความเย็น ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ธุรกิจบริการให้เช่าอาคารโรงงาน ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป แม่พิมพ์ เป็นต้น

ธุรกิจไม้ดอก-ไม้ประดับ-ไม้ยืนต้น สดใส

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์ธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า ธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น มีทิศทางการสร้างผลประกอบการที่เติบโต แบ่งเป็นกลุ่มผลิต อาทิ ทำสวนไม้ประดับ ปลูกพืช เพาะพันธุ์ ปลูกกล้วยไม้ และไม้ดอกต่างๆ และกลุ่มขาย อาทิ ขายส่ง-ขายปลีกดอกไม้ ต้นไม้ เมล็ดพันธุ์พืช

โดยกลุ่มขายเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพอย่างมาก ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาไทยสามารถส่งออกไม้ดอกไม้ประดับและพันธุ์ไม้ เป็นมูลค่าสูงถึง 9,325 ล้านบาท ไปประเทศสหรัฐอเมริกา เวียดนาม และญี่ปุ่น ซึ่งกว่าครึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกของกล้วยไม้ไทย 5,434 ล้านบาท ซึ่งส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลกมาอย่างยาวนาน ไปยังประเทศจีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย

ข้อมูลณ วันที่ 28 ก.พ.68 มีนิติบุคคลในธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ยืนต้น จำนวน 2,993 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผลิต 383 ราย และกลุ่มขาย 2,610 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 17,670 ล้านบาท กลุ่มผลิต 4,213 ล้านบาท และกลุ่มขาย 13,457 ล้านบาท

ในปี 2566 สามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 91,501 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มขายในปี 2566 สร้างรายได้สูงถึง 87,376 ล้านบาท และกำไร 2,473 ล้านบาท และตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา (2564-2566) กลุ่มขายสามารถสร้างกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็น 1,842 ล้านบาท 1,932 ล้านบาท และ 2,473 ล้านบาท ตามลำดับ

นับถอยหลังปิดเคาน์เตอร์จดทะเบียนธุรกิจ เปิดช่องทางออนไลน์ 100%

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พร้อมเดินหน้าสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ผลักดันผู้ใช้บริการใช้ช่องทางระบบ DBD Biz Regist จดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล เปลี่ยนแปลง แก้ไขรายการทางทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ 100% ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการจองคิวเพื่อเข้ามาจดทะเบียนนิติบุคคล ที่กรมฯ สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 1-6 และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ซึ่งในแต่ละวันรับได้จำนวนจำกัด ช่วยให้การจดทะเบียนเร็วขึ้น ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง โดยช่วงนี้จะเป็นช่วงเตรียมความพร้อมให้ผู้ใช้บริการทยอยปรับตัวเพื่อเข้าสู่เป้าหมายที่จะปิดเคาน์เตอร์ Walk In หรือการยื่นจดทะเบียนนิติบุคคลแบบกระดาษทั่วประเทศ ในวันที่ 1 ก.ค.68

 

Back to top button