แรงเหวี่ยงจากต่างชาติและแรงเสริมภายใน

เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับอานิสงส์จากการเข้ามาของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ส่งผลให้นักวิเคราะห์พากันปรับมุมมองใหม่เป็นให้ซื้อ


เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับอานิสงส์จากการเข้ามาของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ส่งผลให้นักวิเคราะห์พากันปรับมุมมองใหม่เป็นให้ซื้อ โดยให้เหตุผลว่า valluation ของตลาดหุ้นไทยยังคงต่ำเกินจริง ส่งผลให้หุ้นบลูชิพพากันบวกถ้วนหน้า แต่แรงส่งที่แท้จริงน่าจะเกิดจากปัจจัยภายในหลังจากที่ผู้บริหารแบงก์ชาติออกมาให้ข่าวว่าจะช่วยเหลือหุ้นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งแม้ว่าจะออกมาพูดค่อนข้างช้าและยังมีข้อจำกัดของการช่วยเหลือที่ออกมาช่วยเหลือสถาบันการเงินมากกว่า ก็ยังถือเป็นข่าวดีอยู่ดี

การที่นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาให้ข่าวว่าจะผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว เป็นเวลา 13 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ค.นี้ เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันชะลอตัวต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้รับจากการหารือกับทั้งผู้ประกอบการในธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและสถาบันการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) และคณะกรรมการนโยบายเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (เกณฑ์ LTV) โดยประเมินว่าการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV จะช่วยประคับประคองภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยบรรเทาปัญหาอุปทานคงค้างที่อยู่ในระดับสูงได้บ้าง จึงอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้จำกัด ขณะที่การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินมากนัก เนื่องจากในปัจจุบันภาวะการเงินตึงตัวและสถาบันการเงินระมัดระวังในการให้สินเชื่อ

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เป็นการชั่วคราว เนื่องจากเกณฑ์ LTV ของไทยผ่อนคลายมากอยู่แล้วเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และการบังคับใช้เกณฑ์ LTV ยังมีความสำคัญเพื่อดูแลมาตรฐานการให้สินเชื่อของระบบสถาบันการเงิน ช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้กู้จะได้รับสินเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินที่จะมาจากการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์

สาระสำคัญของการผ่อนคลายเกณฑ์ LTV กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็นร้อยละ 100 สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้ง (1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และ (2) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป

การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2568

การผ่อนปรนนี้คงจะช่วยให้สถาบันการเงินมีความยืดหยุ่นในการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะช่วยลด NPL ของสถาบันการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จะได้รับผลประโยชน์โดยตรง ถือเป็นการแก้ปัญหาได้ตรงจุด

วิษณุ โชลิตกุล

Back to top button