
CGSI หั่นน้ำหนักลงทุน “หุ้นปิโตรเคมี” เซ่นอุปทานล้น-ดีมานด์ซบเซา
CGSI มองหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมียังเผชิญแรงกดดันจากอุปทานเกิน และดีมานด์อ่อนแอ พร้อมแนะลงทุนกลุ่มโรงกลั่นแทน ชู SPRC เป็นหุ้นเด่น
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เปิดเผยบทวิเคราะห์ล่าสุด ระบุว่า กลุ่มปิโตรเคมีในภูมิภาคเอเชียยังเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาดต่อเนื่องในปี 2568-2569 ขณะที่ความต้องการยังซบเซา แม้มีโอกาสเกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีนก็ตาม โดยยังคงคำแนะนำ “Underweight” สำหรับกลุ่มปิโตรเคมี และแนะนำให้นักลงทุนพิจารณากลุ่มโรงกลั่นเป็นทางเลือกที่ดีกว่า โดยมีบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มพลังงาน
ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ชี้ว่า รัสเซียยังคงสามารถส่งออกแนฟทาได้ในระดับ 530,000–600,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2567 แม้ถูกคว่ำบาตรจากสหภาพยุโรป เนื่องจากโรงกลั่นของรัสเซียสามารถเบนเส้นทางการส่งออกไปยังตลาดเอเชีย อาทิ จีน อินเดีย สิงคโปร์ และไต้หวัน ทั้งนี้ ความผันผวนของปริมาณส่งออกแนฟทาในปีที่ผ่านมา เกิดจากผลกระทบของการโจมตีด้วยโดรนจากยูเครน ไม่ใช่ปัญหาด้านอุปสงค์เป็นหลัก
ด้านราคาตลาด แนฟทาจากรัสเซียยังต่ำกว่าราคาในเอเชียประมาณ 14-15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 4/2567 ทำให้ Naphtha cracker ในเอเชียได้เปรียบด้านต้นทุน แต่ระดับการผลิตยังอยู่ที่เพียง 80% ของกำลังการผลิต เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนตัวไม่สามารถชดเชยต้นทุนได้เต็มที่
สำหรับไตรมาส 1/2568 สเปรด PE-แนฟทา และ PP-แนฟทา ในอาเซียนปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 150–170 ดอลลาร์ฯ/ตัน เป็น 179 ดอลลาร์ฯ/ตัน จากการหยุดผลิตนอกแผนในเกาหลีใต้และอาเซียน อย่างไรก็ตาม ผลบวกจากการฟื้นตัวของสเปรดยังถูกหักล้างบางส่วนจากราคาผลิตภัณฑ์พลอยได้ เช่น เบนซีน และบิวทาไดอีน ที่ลดลงต่อเนื่อง
ด้านภาพรวม สเปรด PE/PP ยังต่ำกว่าต้นทุนเงินสดที่ระดับเฉลี่ย 167 ดอลลาร์ฯ/ตัน แม้จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน ขณะที่โรงงาน Naphtha cracker หลายแห่งในเอเชีย รวมถึงของ SCC และ PTTGC ยังคงเดินเครื่องต่ำกว่ากำลังการผลิต และโครงการ Long Son Petrochemical ของ SCC ยังคงอยู่ในสถานะออฟไลน์
ทั้งนี้ CGSI คาดว่ากลุ่ม PE/PP ในอาเซียนจะเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมในไตรมาส 2/2568 จากการเปิดดำเนินงานของโรงงานใหม่ในจีน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ อาจเพิ่มการส่งออก PE ไปยังจีนจากภาวะคอนเทนเนอร์ล้นท่าเรือ
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/2568 CGSI เชื่อว่า EBITDA จากธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ PTTGC และ IRPC จะยังไม่ฟื้นตัวในเชิงไตรมาส ขณะที่ Naphtha cracker ของ SCC ยังมีแนวโน้มขาดทุน แต่การกลับมาเดินเครื่องของหน่วยผลิต VCM ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต PVC ที่มีกำไร อาจช่วยผลักดัน EBITDA ธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCC ให้เติบโตได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม แม้อุปสงค์เคมีภัณฑ์อาจถูกกดดันจากสงครามการค้าโลกที่กลับมารุนแรง แต่ปัจจัยบวกที่อาจเป็นความเสี่ยงด้านบวก (Upside risk) คือราคาวัตถุดิบที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งอาจช่วยพยุงความสามารถในการทำกำไรของผู้ผลิตบางรายได้