“บล.กสิกรไทย” ชี้ SSO ปรับลดโรคเร่งด่วน ไร้ผลกระทบต่อ BCH-CHG-RJH

“บล.กสิกรไทย” วิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับลดโรคในสัญญา MoU ของ SSO คณะกรรมการ SSO มีมติปรับลดโรคเร่งด่วนจาก 5 โรค เหลือ 2 โรค คาดว่าไม่กระทบรายได้โรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญ KS แนะนำ “ซื้อ” BCH และ “ถือ” CHG, RJH


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 27 มีนาคม 2568 จากกรณีคณะกรรมการของ SSO ได้ชี้แจงมติการประชุมเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับการปรับลดจำนวนโรคภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) สำหรับโรคเร่งด่วน จากเดิม 5 โรค เหลือเพียง 2 โรค ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยมีการถอดถอน 3 โรคออกจากสัญญา ได้แก่ มะเร็งเต้านม, ก้อนเนื้องอกในมดลูกหรือรังไข่ และนิ่วในไตหรือถุงน้ำดี

สำหรับการรักษาโรคที่ยังคงอยู่ในสัญญา MoU โรงพยาบาลในเครือ SSO จะได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 15,000 บาทต่อ RW ซึ่งสูงกว่าอัตรามาตรฐานที่ 12,000 บาทต่อ RW ทั้งนี้ สัญญา MoU ดังกล่าวมีการต่ออายุทุก 6 เดือน

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KS) ประเมินว่าการปรับลดจำนวนโรคของ SSO มีเป้าหมายเพื่อควบคุมงบประมาณ โดยโรคที่ถูกถอดออกจากสัญญา MoU จะเข้าสู่ระบบการรักษาตามมาตรฐาน ซึ่งโรงพยาบาลจะได้รับค่าตอบแทนในอัตรา 12,000 บาทต่อ RW แทน 15,000 บาทต่อ RW

อย่างไรก็ตาม KS คาดว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรายได้หรือกำไรของโรงพยาบาล SSO โดยรวม เนื่องจากรายได้จากสัญญา MoU คิดเป็นสัดส่วนที่จำกัดต่อผลประกอบการของโรงพยาบาลเอกชน

สำหรับ BCH ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เปิดเผยรายได้จากสัญญา MoU พบว่ามีสัดส่วนอยู่ที่ 3% ของรายได้จาก SSO หรือคิดเป็นประมาณ 1.5% ของรายได้รวม ซึ่งถือว่าไม่มีนัยสำคัญมาก นอกจากนี้ KS คาดว่ารายได้หลักจากสัญญา MoU ยังคงมาจากโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ ซึ่งยังอยู่ภายใต้สัญญา MoU ในขณะที่ CHG และ RJH ไม่ได้เปิดเผยสัดส่วนรายได้จาก MoU แต่คาดว่าไม่มีผลกระทบเชิงลบที่สำคัญ

ส่วนคำแนะนำการลงทุน บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.10 บาท , บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 1.90 บาท และ บริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน)  หรือ RJH แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 16.20 บาท

Back to top button