
ศาลยุติธรรมแจง! กระบวนการคัดเลือกผู้รับเหมา 2 โครงการ “โปร่งใส – ก่อสร้างได้มาตรฐาน”
ศาลยุติธรรม ชี้แจงกรณีโครงการก่อสร้างอาคาร 2 แห่ง ยืนยันกระบวนการคัดเลือกผู้รับเหมาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และการก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรม หลังเกิดเหตุอาคารถล่มจากแผ่นดินไหว
วันนี้ (2 เม.ย.68) กรณีเกิดเหตุอาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถล่ม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 ซึ่งอาคารดังกล่าวมี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในกิจการร่วมค้าเป็นผู้รับจัดจ้าง และบริษัทดังกล่าวจดทะเบียนกิจการร่วมค้า เป็นผู้รับจ้างงานก่อสร้างอาคารของสำนักงานศาลยุติธรรม รวม 2 แห่ง
โครงการแรก คือ โครงการก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการ จำนวน 72 หน่วยและอาคารชุดพักอาศัยข้าราชการศาลยุติธรรม จำนวน 98 หน่วย พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ทำสัญญา เมื่อวันที่ 24 ส.ค.64 วงเงินค่าก่อสร้างตามสัญญา 386,000,000 บาท
และโครงการที่สองคือ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลแพ่งมีนบุรีและศาลอาญามีนบุรี พร้อมบ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ ทำสัญญาเมื่อวันที่ 5 เม.ย.65 วงเงินก่อสร้างตามสัญญา 782,666,000 บาท นั้น
สำนักงานศาลยุติธรรม ชี้แจงว่า สำหรับโครงการแรก บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับบริษัท อัครกร ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด จดทะเบียนกิจการร่วมค้าในนาม กิจการร่วมค้า เอ เค ซี
โครงการที่สอง บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับบริษัท อัครดวงแก้ว เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จดทะเบียนกิจการร่วมค้าในนาม กิจการร่วมค้า เอ ซี คอนสตรัคชั่น ยื่นประมูลงานโดยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) โดยกิจการร่วมค้าทั้งสองมีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ และมิได้เป็นผู้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทิ้งงานกับกรมบัญชีกลาง จึงเป็นผู้ชนะการประมูลด้วยการเสนอราคาต่ำที่สุด ในโครงการของสำนักงานศาลยุติธรรมทั้งสองโครงการดังกล่าว
จากการตรวจสอบ โครงการแรก มี บริษัท เอ็ม เจ อาร์ แมนเนจเมนต์ จำกัด เป็นผู้ควบคุมงาน โครงการที่สองมีบริษัท เบสท์ โปร วิศวกรรม จำกัดเป็นผู้ควบคุมงาน โดยทั้งสองโครงการ ผู้รับจ้าง และผู้ควบคุมงาน ต่างมีสามัญวิศวกรเป็นผู้ดูแลครบถ้วนตามข้อกำหนดในสัญญา
สำหรับการตรวจสอบวัสดุและคุณภาพงาน ทั้งสองโครงการเป็นไปตามมาตรฐาน และมีขั้นตอนงานก่อสร้างเป็นไปตามหลักวิศวกรรม เช่น วัสดุที่ใช้ในโครงการมีการดำเนินการขออนุมัติผ่านผู้ควบคุมงานตรวจสอบว่ามีมาตรฐานตรงตามรายการประกอบแบบหรือไม่ แล้วจึงนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนนำมาใช้ในโครงการทุกครั้ง สำหรับการตรวจสอบคุณภาพงาน ผู้รับจ้างจะต้องจัดทำเอกสารขออนุมัติทำงาน (request) เพื่อให้ผู้ควบคุมงานตรวจสอบอีกครั้งและมีการส่งวัสดุไปทดสอบคุณสมบัติกับทางสถาบันที่ได้รับการยอมรับและอนุมัติจากทางคณะกรรมการตรวจรับพัสดุแล้ว เช่น ในโครงการแรกเหล็กเสริมคอนกรีตส่งไปตรวจสอบที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่
และเก็บตัวอย่างคอนกรีตที่ใช้ไปทดสอบที่หน่วยงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดสงขลาทุกครั้ง โครงการที่สองเหล็กเสริมคอนกรีตส่งไปตรวจสอบที่หน่วยงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดปทุมธานีทุกครั้งเช่นกัน ผลการตรวจสอบปรากฏว่าเหล็กเส้นทุกขนาดและคอนกรีตที่นำเข้ามาใช้ในโครงการก่อสร้างทั้งสองแห่งได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรมและผ่านการทดสอบคุณสมบัติจากหน่วยงานดังกล่าวข้างต้นทั้งหมด
สำหรับความก้าวหน้าของงานในโครงการแรกดำเนินการไปแล้ว 83.97% มีการเบิกงวดงานไปแล้ว 36.85% งานมีความล่าช้าจากข้อมูล ณ วันที่ 3 มี.ค.68 ล่าช้าเป็นเวลา 488 วัน ส่วนโครงการที่สอง ดำเนินการไปแล้ว 20.67% มีการเบิกงวดงานไปแล้ว 11.74%
จากข้อมูล ณ.วันที่ 1 เม.ย.68 งานล่าช้าเป็นเวลา 616 วัน นอกจากความล่าช้า งานก่อสร้างทั้งสองโครงการมีคุณภาพงานเป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญา มีขั้นตอนงานก่อสร้างเป็นไปตามหลักวิศวกรรม และการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างที่ชำระต่ำกว่าผลงานที่ผู้รับจ้างดำเนินการไปแล้ว หากผู้รับจ้างไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามสัญญาสำนักงานศาลยุติธรรม สามารถเปิดประมูลหาผู้รับจ้างที่มีคุณสมบัติรายอื่นมาดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้