AMATA คาดสรุปขายจีนล็อตใหญ่กว่าพันไร่ช่วงครึ่งปีหลัง 59
AMATA เผยเจรจาขายที่ดินให้ลูกค้าต่างชาติเพียบ คาดสรุปขายจีนล็อตใหญ่กว่าพันไร่ช่วงครึ่งปีหลัง 59 โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในเครือเติบโตขึ้น 20% จากปีก่อน ตั้งงบลงทุนรวมทั้งกลุ่มไว้ 6.5 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนในเวียดนามราว 5 พันล้านบาท และที่เหลืออีก 1.5 พันล้านบาทใช้ลงทุนในประเทศไทย
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าหลายราย ซึ่งเป็นชาวจีนทั้งหมดเพื่อขายที่ดินกว่า 1,000 ไร่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และยังมีการเจรจากับลูกค้าชาวญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ อีกหลายรายเพื่อขายที่ดินรวมราว 100 ไร่ รวมถึงอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าชาวจีน จำนวน 2 ราย ในการขายที่ดินจำนวนรวม 120 ไร่ที่น่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาลูกค้าหลายรายได้เซ็นสัญญาแสดงเจตจำนงแล้ว คาดว่าจะสามารถขายได้ในเร็วๆนี้ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินในประเทศไทย ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกราว 10,000 ไร่ แบ่งเป็น อมตะนคร จำนวน 6,700 ไร่ ,อมตะซิตี้ จำนวน 3,500 ไร่
โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในเครือเติบโตขึ้น 20% จากปีก่อนที่มียอดขายราว 960-1,000 ไร่ โดยจะมาจากการขายที่ดินในอมตะซิตี้เป็นส่วนใหญ่
ขณะที่บริษัทจะมีการปรับราคาขายที่ดินใหม่ แบ่งเป็น อมตะซิตี้ ปรับเพิ่มเป็น 3.6-3.7 ล้านบาท/ไร่ จากเดิมอยู่ที่ 3.2 ล้านไร่ และอมตะนคร ปรับเพิ่มเป็น 6 ล้านบาท/ไร่ จากเดิม 4 ล้านบาท/ไร่ เนื่องจากเป็นไปตามการประเมินราคาที่ดินใหม่ของกรมที่ดินที่ได้มีการปรับราคาขึ้นทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนลูกค้ายังมาจากประเทศญี่ปุ่น 61% ,ไทย 10% และจีน 7% ที่เหลืออื่นๆ
พร้อมกันนี้ยังมองโอกาสขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT โดยจะเป็นทั้งโรงงานและออฟฟิตให้เช่า ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางว่าจะนำสินทรัพย์ขายเข้ากองเดิม หรือจัดตั้งกองใหม่ และจำนวนพื้นที่คาดว่าน่าจะได้เห็นภายในปีนี้
ขณะที่มองว่าภาพรวมการลงทุนในปีนี้ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนของภาครัฐที่จะช่วยส่งเสริมให้ยอดขายที่ดินของบริษัเพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งแม้จะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว ทำให้กระทบต่อการลงทุนบ้าง แต่บริษัทเชื่อว่าเป็นจังหวะโอกาสภาคธุรกิจที่จะมองหาที่ดินเพื่อรองรับการขยายฐานการผลิตไว้ก่อน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ การเกษตร และยาง ซึ่งประเทศไทยถือว่ามีศักยภาพที่ดี เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาค น่าจะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนได้มากพอสมควร
ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนรวมทั้งกลุ่มไว้ 6.5 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนในเวียดนามราว 5 พันล้านบาทเพื่อพัฒนาสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการพัฒนาที่ดิน โดยปัจจุบันมีพื้นที่หลือรอการพัฒนาราว 1.3 หมื่นไร่ และที่เหลืออีก 1.5 พันล้านบาทใช้ลงทุนในประเทศไทย
นอกจากนั้น ในอนาคตบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ หรือบริการด้านสาธารณูปโภคเป็น 80% และรายได้จากการขายที่ดิน 20% จากปัจจุบัน 40:60 ตามลำดับ เนื่องจากเห็นว่าจะเป็นการเติบโตแบบยั่งยืน และสม่ำเสมอ ประกอบกับในอนาคตจะมีธุรกิจใหม่เข้ามา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เบื่องต้นก็มีการศึกษาทั้งในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา เพื่อดูความเหมาะสมทางธุรกิจของแต่ละประเทศ อีกทั้งนอกจากจะมีการขายที่ดินแล้ว ยังมองการปล่อยให้เช่าที่ดินอีกด้วย