
GULF วิ่งต่อ 6% นักลงทุนมั่นใจ หลัง “สารัชถ์” เก็บหุ้น-ทุ่มทุนโปรเจกต์ท่าเรือมาบตาพุด
GULF บวกต่อ 6% หลัง สารัชถ์ รัตนาวะดี ควัก 1.6 พันล้านบาท เดินหน้าเก็บหุ้นในกระดาน 35.5 ล้านหุ้น สร้างความเชื่อมั่นต่อศักยภาพธุรกิจ ฟาก “ยุพาพิน” เผยลุยโปรเจกต์ท่าเรือมาบตาพุด ระยะ 3 รองรับนำเข้า LNG แตะ 10.8 ล้านตันต่อปี
ผู้สื่อข่าวรายวานว่า วันนี้ (10 เม.ย.68) ราคาหุ้น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ณ เวลา 10:30 น. อยู่ที่ระดับ 44.75 บาท บวก 2.50 บาท หรือ 5.92% ราคาสูงสุด 45.50 บาท ราคาต่ำสุด 44.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 795.37 ล้านบาท
โดยเป็นผลมาจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยข้อมูลการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร GULF โดยพบว่าผู้บริหารระดับสูง คือ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และ นายโอฬาร ศรีวรัฎฐา ได้เข้าทำรายการซื้อหุ้นบริษัทรวมหลายรายการช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (แบบ 59) พบรายละเอียดที่น่าสนใจ เริ่มจากวันที่ 3 เม.ย. 68 นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ซื้อหุ้นสามัญจำนวน 510,700 หุ้น ราคาหุ้นละ 48.75 บาท มูลค่ารวม 24,896,625 บาท
วันที่ 4 เม.ย. 2568 นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ได้ทำรายการซื้อเพิ่มเติมอีก 35,000,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 46.49 บาท มูลค่ารวม 1,627,150,000 บาท
ในวันเดียวกัน นายโอฬาร ศรีวรัฎฐา เข้าซื้อหุ้นจำนวน 1,364 หุ้น ราคาหุ้นละ 48 บาท มูลค่ารวม 65,472 บาท
สำหรับการซื้อหุ้นดังกล่าว แสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้บริหารที่มีต่อศักยภาพการเติบโตและอนาคตบริษัท GULF อาจสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ตามไปด้วย
ขณะที่วานนี้ 9 เม.ย.68 ราคาหุ้น GULF ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 42.25 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 5.63% ราคาสูงสุด 43.25 บาท ราคาต่ำสุด 39.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 3.80 พันล้านบาท
นอกจากนี้ นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยความคืบหน้าของ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ว่า เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทได้รับจดหมายยืนยันจาก การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำหรับการรับงานถมทะเลในการพัฒนาโครงการระยะที่ 1 (Infrastructure) และอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้างในส่วนของโครงการในระยะที่ 2 (Superstructure) ได้แก่ ท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) ซึ่งมีแผนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างกลางปีนี้
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นไปตามที่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้จัดทำแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) ให้มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยมีโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง ครอบคลุมพื้นที่ 1,000 ไร่ เป็นส่วนหนึ่งของแผน
โดย บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด (GMTP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่ GULF ถือหุ้นร่วมกับบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ในสัดส่วน 70% และ 30% ตามลำดับ ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) กับกนอ. เป็นระยะเวลา 35 ปี เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3
ขณะที่ งานแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 : งานออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ได้แก่ งานขุดลอกและถมทะเลในพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ การก่อสร้างแนวกันคลื่น การก่อสร้างท่าเรือบริการ การก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค และงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และระยะที่ 2 : งานออกแบบ ก่อสร้าง และประกอบกิจการท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (Superstructure) บนพื้นที่ถมทะเลประมาณ 200 ไร่ เพื่อรองรับปริมาณการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านตันต่อปี (สำหรับท่าเรือก๊าซส่วนแรก) และส่วนขยายไปจนถึง 10.8 ล้านตันต่อปี
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่การก่อสร้างท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) แล้วเสร็จ ท่าเทียบเรือดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในการรองรับการนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อสนับสนุนธุรกิจก๊าซฯ ของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper License) สำหรับนำเข้าก๊าซ LNG ในปริมาณรวม 7.8 ล้านตันต่อปี เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้า กัลฟ์ พีดี, โรงไฟฟ้า กัลฟ์ เอสอาร์ซี และโรงไฟฟ้าหินกอง
นอกจากนี้ ท่าเทียบเรือดังกล่าวจะถือเป็นสถานีแห่งที่ 3 ของประเทศไทย และจะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตไฟฟ้า ตามการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ