BAY กำไรไตรมาส 1 ทรงตัว 7.5 พันล้าน รับรายได้มิใช่ดอกเบี้ยโต-ตั้งสำรองลด

BAY รายงานกำไรไตรมาสแรกปี 68 ที่ 7,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่เติบโตแข็งแกร่ง การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ และรายได้มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น


ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2568 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยาและบริษัทในเครือ รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 7,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.0% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีแรงสนับสนุนจากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่อคุณภาพในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการฟื้นตัว พร้อมบริหารต้นทุนทางการเงินและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างเต็มศักยภาพ

ในไตรมาสแรก เงินให้สินเชื่อรวมทรงตัวจากสิ้นปี 2567 โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตแข็งแกร่ง 4.7% หรือคิดเป็น 30,904 ล้านบาท แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ขณะที่สินเชื่อ SME และสินเชื่อรายย่อยปรับลดลง 2.4% และ 2.5% ตามลำดับ ภายใต้บริบทที่ความไม่แน่นอนยังคงสูง อย่างไรก็ดี ธนาคารยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด โดยดำเนินมาตรการช่วยเหลือที่ครอบคลุม โดยเฉพาะมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อสนับสนุนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ

เงินรับฝากรวมเพิ่มขึ้น 0.9% จากสิ้นปี 2567 หรือราว 16,753 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากประจำระยะสั้นและเงินฝากออมทรัพย์ สวนทางกับการลดลงของเงินฝากประจำระยะยาวที่มีต้นทุนสูง สะท้อนถึงการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% จาก 4.03% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยหลักมาจากต้นทุนเงินฝากที่ลดลง

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือราว 607 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการรับคืนหนี้สูญ กำไรจากทรัพย์สินรอการขาย และเงินปันผล ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นที่ 45.7% จาก 46.5% ในไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนถึงการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

ในด้านคุณภาพสินทรัพย์ อัตราส่วน NPL อยู่ที่ 3.29% และอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อรวม (ECL Ratio) ปรับลดลงสู่ระดับ 211 เบสิสพอยท์ จาก 234 เบสิสพอยท์ ในไตรมาสก่อน ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ระดับ 124.5% และเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 19.14% ลดลงเล็กน้อยจาก 19.38% ณ สิ้นปี 2567

นายเคนอิจิ ยังกล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยว่า ยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนหลายด้าน โดยเฉพาะมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่จะกระทบต่อภาคการส่งออกไทย รวมถึงปัจจัยลบอื่น ๆ เช่น ภัยพิบัติแผ่นดินไหว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิต และการทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ตลาดในประเทศ ซึ่งล้วนส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย และเป็นสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.90 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.84 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.63 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 317,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19.14% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของในสัดส่วน 14.91%

Back to top button