
CGSI มอง SET ไซด์เวย์ 1,150-1185 จุด พร้อมแนะลงทุน 2 หุ้นเด่น
CGSI มองสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหว Sideway-Sideway up ในกรอบบริเวณ 1,150-1185 จุดท่ามกลางสงครามการค้าที่ไม่แน่นอน พร้อมแนะลงทุน 2 หุ้นเด่น คือ CPALL-GULF
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (21 เม.ย.68) ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการวันศุกร์ที่ผ่านมาเนื่องในวัน Good Friday โดยดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.66% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา, S&P500 ลดลง 1.5% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา และ Nasdaq ลดลง 2.62% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้การปรับตัวลดลงของดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ในช่วงเช้านี้ยังคงสะท้อนภาพนักลงทุนที่ยังกังวลมาตรการของโดนัลด์ ทรัมป์ที่ยังไม่แน่นอนและอาจนำไปสู่การทำสงครามการค้ากับประเภทต่างๆ โดยเฉพาะจีน
ซึ่ง ล่าสุดประเทศจีนพร้อมเจรจาประเด็นการค้า หากสหรัฐฯ ยอมทำตาม 3 เงื่อนไข
1) แสดงออกถึงความเคารพ
2) นโยบายการค้าที่แน่นอน และ
3) ประเด็นความมั่นคงอย่างไต้หวัน และมาตรการคว่ำบาตร
สำหรับสัญญาทองคำ COMEX ลดลง 0.54% เมื่อเทียบกับวันก่อน, เพิ่มขึ้น 2.58% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะได้แรงหนุนรายสัปดาห์จาก fund flow ที่ยังไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย และ การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ แต่ท้ายสัปดาห์มีแรงเทขายหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้พบปะกับคณะผู้แทนญี่ปุ่นเกี่ยวกับภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตาม ภายหลังการพบปะ ญี่ปุ่นยังคงโดนภาษีพื้นฐาน 10% และ จะมีการเจรจารอบสอง สิ้นเดือนนี้
ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวกในวันพฤหัสฯที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 2.47% เมื่อเทียบกับวันก่อน, เพิ่มขึ้น 4.08% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา) ได้แรงบวกมุมมอง supply ตลาดโลกจะตึงตัว หลังจากมาตรการคว่ำบัตรสหรัฐที่มุ่งเป้าไปยังการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน
ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยคาดว่า SET Index สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหว Sideway-Sideway up ในกรอบบริเวณ 1,150-1185 จุดท่ามกลางสงครามการค้าที่ไม่แน่นอนได้สะท้อนในราคาหุ้นพอสมควร ดังนั้น เราเชื่อว่าภาพระยะกลาง การยกเว้นภาษีตอบโต้ 90 วัน และ แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) 0.25% ในมุมของเราจะยังเป็นปัจจัยที่ช่วยคลายความกังวล รอผลการเจรจาระหว่างทีมไทยแลนด์และสหรัฐ วันที่ 23 เม.ย.68
สำหรับสัปดาห์นี้ติดตาม
1) ผลประกอบการไตรมาส 1/68 (KKP, SCB วันจันทร์), BH (วันพฤหัสฯ) และ PTTEP (วันศุกร์)
2) ดัชนี PMI ล่วงสหรัฐเดือน เม.ย. (วันพุธ), ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (วันพฤหัสฯ) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน เม.ย. (วันศุกร์), ตัวเลขส่งออก-นำเข้า (Custom) ไทย ตลาดคาดจะประกาศภายในสัปดาห์นี้
3) รายงานผลประกอบการกลุ่ม Magnificent 7 อย่าง Tesla (พรุ่งนี้) และ Google (พฤหัสฯ) ที่จะกระทบตลาดได้
สำหรับผลประกอบการกลุ่ม Bank และ Non-bank ในไตรมาส 1/68 โดยภาพรวม NIM ลดลงจากการลดอัตราดอกเบี้ย และสินเชื่อที่เติบโตช้า ดังนี้
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB มีกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาท ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน, ลดลง 0.3% จากไตรมาสก่อนหน้า) มากกว่าเราคาด 23% จากค่าใช้จ่ายตั้งสำรองน้อยกว่าคาด โดยการเติบโตของสินเชื่อลดลง 7.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 2.4% จากไตรมาสก่อนหน้าถูกกดดันจากสินเชื่อรถยนต์ลดลง 2.2% จากไตรมาสก่อนหน้า), สินเชื่อองค์กรลดลง 3.8% จากไตรมาสก่อนหน้า) และสินเชื่อ SME ลดลง 3.1% จากไตรมาสก่อนหน้า) เนื่องจากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นตั้งแต่ปี 2566
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC มีกำไรสุทธิ 1.86 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน, ลดลง 2.8% จากไตรมาสก่อนหน้า) เป็นไปตามที่เราคาด โดยการลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง ทั้งนี้สินเชื่อ KTC มีการเติบโตที่ช้าเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน) มาจากสินเชื่อ credit card (เพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน) และสินเชื่อส่วนบุคคล เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB มีกำไรสุทธิ 1.17 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน, เพิ่มขึ้น 6.6% จากไตรมาสก่อนหน้า) มากกว่าเรา/ Bloomberg consensus คาดไว้ที่ 7.2%/ 8.5% ปัจจัยบวกจากการเติบโตรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย, ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยน้อยกว่าคาดโดยสินเชื่อ KTB มีการเติบโตช้าเพิ่ม 1.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน, ลดลง1.3% จากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 1/68
สำหรับหุ้นแนะนำ ดังนี้
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เชื่อว่า CPALL จะมีกำไรปกติแข็งแกร่ง 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน) ในไตรมาส 1/68 ได้แรงหนุนจากมาร์จิ้นที่ขยายตัว ซึ่งมาจากยอดขายสินค้าประเภทอาหารพร้อมทานที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับ 7-Eleven จากยอดซื้อต่อบิลและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/68 (Take profit: 51.50 / Stop loss: 49.00)
บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อการขยายธุรกิจ มีกำลังการผลิตที่มั่นคง โดย 74% มาจากโรงไฟฟ้า IPP ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายค่าไฟน้อยกว่า และความเสี่ยงต่ำโดยประมาณการกำไรสุทธิจะเติบโตด้วยเลขสองหลัก สำหรับปี 68-70 (Take profit: 49.00 / Stop loss: 46.00)