หุ้นเสียทรง

ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยทำท่าเหมือนมีแรงฮึดจะไปต่อทีไร? ต่อจากนั้นมักพบกับความผิดหวังเป็นประจำ จนทำให้เดี๊ยนรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเป็นทวีคูณ


ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยทำท่าเหมือนมีแรงฮึดจะไปต่อทีไร? ต่อจากนั้นมักพบกับความผิดหวังเป็นประจำ จนทำให้เดี๊ยนรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะตลาดหุ้นไทยมีอาการอินดี้มากเกินไป จึงไม่ค่อยขานรับปัจจัยบวกที่เข้ามาเป็นช่วง ๆ และเป็นการตอกย้ำพฤติกรรมการเล่นหุ้นของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ยังเป็นลักษณะ “เข้าเร็ว ออกเร็ว” ซึ่งทำให้การขึ้นของตลาดหุ้นไทยยังเปราะบางเหมือนเดิมนะจะบอกให้

สาเหตุที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยเช่นนั้นเป็นผลมาจากสถานการณ์หลายอย่างที่ทำท่าจะนิ่ง แต่สุดท้ายก็ยังมีเรื่องที่ทำให้กังวลเกิดขึ้นตามหลังทุกที เดี๊ยนเลยไม่เข้าใจการอ่อนตัวของดัชนีลงมายืนอยู่ที่ 1,146.86 จุด ลบไป 6.91 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.05 หมื่นล้านบาท มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ในเมื่ออเมริกาก็เลิกผยองไปแล้ว และบรรยากาศทางเศรษฐกิจก็เริ่มดีขึ้น หุ้นไทยก็ควรพุ่งยาว ๆ ไม่ใช่เหรอคะ

ประหลาดสุด ๆ คงมองไปที่พี่เทพ PTTEP เป็นรายแรก เพราะการทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 98.50 บาท ลบไป 4 บาท หรือลงไป 3.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.66 พันล้านบาท มันช่างสวนทางกับคำแนะนำของโบรกเกอร์ที่ให้ซื้อก่อนหน้านี้ แต่ถ้าดูจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า กำไรอาจไม่โต! และเมื่อดูสภาพเศรษฐกิจเป็นองค์ประกอบถัดมา ก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่า ยอดขายคงไม่เปรี้ยงปร้างพะย่ะค่ะ

ส่วนรายที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กันก็คือ BDMS เพราะสถานการณ์หลายอย่างไม่เอื้อให้สถาบันเข้าเล่น แถมยังมีเรื่องคนไข้ต่างประเทศลดลงต่อเนื่อง จึงกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นมากกว่าไล่ซื้อ วานนี้จึงเห็นหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 23 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 1.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 927 ล้านบาทอีกครั้ง และมีความเป็นไปได้ที่จะลงมาที่ฐานเก่าบริเวณ 22 บาทแบบนี้..อยู่นิ่ง ๆ ก่อนดีไหมคะ

เช่นเดียวกับในรายของ CRC ก็เป็นหุ้นที่ตกอยู่ในภวังค์รวม 2 สัปดาห์ ทั้งที่ตลาดหุ้นไทยพยายามผงกหัวขึ้นแบบนี้ “โมนิก้า” เลยเดาว่า นักเล่นไม่กล้าเล่นหุ้นตัวนี้ เพราะภาพใหญ่ที่หลายคนรับรู้มาตั้งแต่ต้นปี 68 ก็คือ ประชาชนไม่มีกำลังซื้อ! ซึ่งอาจทำให้ผลงานไตรมาส 1 ไม่ค่อยสู้ดี และมีความเป็นไปได้ที่ไตรมาส 2 จะแย่ลงอีก วานนี้จึงเห็นหุ้นยืนซึมอยู่ที่ 23.50 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 194 ล้านบาทไงล่ะคะ

สำหรับรายที่ต้องลุ้นหนักสักหน่อย “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น SCGP เพื่อชี้ให้เห็นอาการอืดเป็นเรือเกลือ หลังจากเด้งขึ้นตามภาวะตลาดหุ้นก่อนหน้านี้ มันกลายเป็นเกมที่เดี๊ยนเดาไม่ออกเหมือนกันว่า หุ้นจะไปทางไหน? เพราะการแกว่งตัวแคบ ๆ ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ย่อมกระทบต่อการไต่ระดับขึ้นของราคาหุ้น เดี๊ยนเลยไม่แน่ใจว่า การยืนปิดที่ระดับ 13.10 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 114 ล้านบาท น่าเล่นไหม?

คล้ายกับสถานการณ์ของหุ้น WHA ซึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับยอดขายที่ดินจะชะลอตัว หลังสงครามการค้ายังไม่มีข้อยุติแบบนี้ ก็คงไม่มีใครกล้าลุยหุ้นตัวนี้แบบสุดซอยอย่างแน่นอน และทำให้การขึ้นมาปิดที่ระดับ 2.94 บาท บวกไป 0.04 บาท หรือขึ้นไป 1.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 290 ล้านบาท น่าจะเป็นแค่การประคองตัวเพื่อรอความชัดเจนเรื่องรีดภาษีของอเมริกา จึงคาดหวังอะไรไม่ได้จริง ๆ จ้า!

ตบท้ายด้วยเรื่อง MGI ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เบอร์ 2  JKN หลังลงทุนควักเงิน 50 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนพีพี 100 ล้านหุ้นแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องสมบัติผลัดกันชม และไม่ได้มีอะไรที่ลึกลับซับซ้อน แถมบรรดาขาเผือกตั้งคำถามในทำนองที่ว่า ดีลนี้จะทำเงินไหม? “โมนิก้า” เลยต้องให้ “ณวัฒน์” ตอบคำถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะสิ่งที่เห็นวานนี้มีแค่หุ้นขยับขึ้นมาปิดที่ 11 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 3.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 45 ล้านบาทเท่านั้นจ้า!

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button