
จับตา “Thai ESG X” ดีเดย์ขาย 2 พ.ค.นี้! ลุ้นผลตอบแทน 208% ระยะ 5 ปีข้างหน้า
จับตา Thai ESG X 37 กองทุน จาก 19 บลจ. ดีเดย์ขาย 2 พ.ค.นี้ “เอเซีย พลัส” ย้ำ “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกจังหวะ” เปิดสถิติ 25 ปี หากลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น 5 ปี โดยซื้อหุ้นในช่วง P/BV น้อยกว่า 1.1 เท่า พบตลาดฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูง 208% ใน 5 ปีข้างหน้า แนะหุ้นเด่นมี ESG rating เป้ากองทุนฯ SCGP, TOP, AOT, SCC, CPALL, MINT, BDMS, ADVANC, KBANK, BBL, SCB, KTB และ GULF
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 เม.ย. 2568) ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีการแถลงข่าวเรื่อง “ความร่วมมือการเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกองทุน Thai ESG X” (กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thailand ESG Extra Fund : Thai ESG X)
ทั้งนี้ มีนายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง มาให้ข้อมูลในเรื่อง “การสนับสนุนของภาครัฐด้านนโยบายการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (Thai ESG X) เพื่อเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย”
ด้านศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มากล่าวในหัวข้อ “การดำเนินการเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการรองรับการจัดตั้งและจัดการ Thai ESG X”
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) หัวข้อ “การเตรียมความพร้อมการซื้อขายและสับเปลี่ยนกองทุน Thai ESG X”
ขณะที่นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาให้ข้อมูลในเรื่อง “การบริการด้านข้อมูลสำหรับผู้ลงทุนบุคคลของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อรองรับการสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ไปเป็นกองทุน Thai ESG X”
โดยก่อนหน้านี้ นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้ง Thai ESG X จำนวน 37 กองทุน จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 19 แห่ง และจะเปิดเสนอขายพร้อมกันในวันที่ 2 พ.ค. 2568
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เผยว่า สำหรับกองทุน Thai ESG X นับว่ามา “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกจังหวะ” และน่าซื้อสะสม และยังนำมาลดหย่อนภาษีได้อีก แม้ในช่วงที่ผ่านมา 5-6 ปี ตลาดหุ้นไทยจะย่อตัวลงมาลึกจาก 1,700-1,800 จุด (อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี : P/BV มากกว่า 1.8 เท่า) เหลือประมาณ 1,150 จุด (บวก/ลบเล็กน้อย) ซึ่งการลงมาแรง ส่งผลให้นักลงทุนขาดทุน เพราะช่วง 5-6 ปี ตลาดหุ้นไทยเผชิญวิกฤตหนัก ๆ พอดี เช่น โควิด และช่วงปลายปี 2567 มี Trade War 1 และต้นปี 2568 มี Trade War 2 กดดันจน P/BV ของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันเหลือ 1.07 เท่า เท่านั้น
ดังนั้น จึงทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณตลอด 25 ปีที่ผ่านมา หากลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย 5 ปี โดยซื้อหุ้นในช่วง P/BV น้อยกว่า 1.1 เท่า พบว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 208% ใน 5 ปีข้างหน้า (หรือเฉลี่ย 25% ต่อปี)
ส่วนปัจจุบันมีเม็ดเงินคงค้างในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ปะมาณ 1.52 แสนล้านบาท (ณ วันที่ 23 เม.ย. 2568) และหากดูผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของกองทุน LTF ทั้งหมด 106 กองทุน ให้ผลตอบแทนทรง ๆ (ลบ) 0.7% ต่อปี ถือว่าทำได้ดี ภายใต้ตลาดหุ้นที่เผชิญทั้งวิกฤตโควิด และคร่อมช่วงปลาย Trade War 1 และต้น Trade War 2
จึงหวังว่าการโยกเงินจาก LTF เป็น Thai ESG X หรือซื้อกองทุน Thai ESG X เพิ่ม ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากกับนักลงทุน (ช่วงวันที่ 2 พ.ค.-30 มิ.ย. 2568) เพราะตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีมูลค่า (Valuation) ถูกมาก โดยมี P/BV ประมาณ 1 เท่าต้น ๆ หลังเผชิญวิกฤตต่าง ๆ มาค่อนข้างมาก
และในระยะยาวระดับ 5 ปีขึ้นไป ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมักจะ “ส่งผลน้อยลง” และยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีระดับ 25% ต่อปี รวมถึงสามารถนำเม็ดเงินไปลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้อีก
สำหรับกลยุทธ์ ยังคงแนะนำ 10 หุ้นเด่น มี ESG Rating ได้เม็ดเงินจากกองทุน Thai ESG X ทยอยเข้ามาหนุน แบ่งเป็น 5 หุ้นเก็งกำไร หวังรีบาวด์แรง แนะนำ DELTA, AMATA, SCGP, TOP, AOT และ 5 หุ้นสะสมระยะกลาง-ยาว อาทิ SCC, CPALL, BDMS, WHA, CK
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก.ล.ต.ระบุว่าปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งกองทุน Thai ESGX รวม 37 แห่ง คาดจะเสนอขายและรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF นับจาก 2 พ.ค. 2568
ทั้งนี้ ได้ประเมินจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยจาก 1.คาดมีความชัดเจนเม็ดเงินลงทุนกองทุน LTF ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน
2.คาดหวังเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนในวงเงินลดหย่อนภาษีพิเศษ (เปิดขาย 2 พ.ค.-30 มิ.ย. 2568) เป็นสภาพคล่องเพิ่มเติมเข้ามาในตลาด อิงยอดซื้อช่วงมาตรการคล้ายกับ SSFX รอบดังกล่าวมีเม็ดเงินใหม่ราว 3 พันล้านบาท ซึ่งประเมินรอบนี้น่าจะคาดหวังเม็ดเงินระดับใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ หุ้นที่มีโอกาสเป็นเป้าหมายเม็ดเงิน 10 หุ้น Deep Value อาทิ CPALL, BDMS, AOT, MINT, BH, GPSC, SCGP, HMPRO, KBANK, BBL
หุ้น High Yield อาทิ กลุ่มสื่อสาร เช่น ADVANC, กลุ่มธนาคาร เช่น KBANK, BBL, KTB, SCB กลุ่มอสังหาฯ ได้แก่ AP, LH และหุ้น New S Curve โดยเฉพาะ Infrastructure Tech อาทิ โรงไฟฟ้า เช่น GULF, GPSC สื่อสาร เช่น ADVANC, TRUE กลุ่มรับเหมา เช่น STECON