
AOT ชูแผนพัฒนา 6 สนามบิน มูลค่า 2.9 หมื่นล้าน ดันไทยสู่ Aviation Hub
AOT จัดงาน "AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity" ชูแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ 6 สนามบิน “สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-เชียงใหม่-เชียงราย-ภูเก็ต-หาดใหญ่” ทำเลทองกว่า 2,512 ไร่ มูลค่าโครงการ 28,800 ล้านบาท เปิดทางเอกชนลงทุนระยะยาว 30 ปี ดันไทยสู่ Aviation Hub แห่งภูมิภาคเอเชีย พร้อมจับตาความชัดเจนการชำระหนี้ของลูกหนี้การค้า King Power หลังเตรียมแจ้งงบไตรมาส 2(งวดม.ค.-มี.ค.68) 12 พ.ค.นี้
นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT กล่าวว่า การจัดงาน ‘AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity ในวันนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของ AOT ในการพัฒนาและบริหารจัดการท่าอากาศยานให้ก้าวสู่ระดับโลก โดยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพการให้บริการและความปลอดภัย รวมทั้งสร้างรายได้อย่างสมดุลควบคู่ไปกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ศักยภาพสูง
การเปิดเวทีในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อเชิญชวนนักลงทุนและผู้ประกอบการเข้ามาร่วมค้นหาโอกาสทางธุรกิจจากพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ รวมทั้งสิ้น 46 แปลง คิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 2,512 ไร่ มูลค่าการพัฒนาโครงการกว่า 28,800 ล้านบาท
โดยพื้นที่ดังกล่าวจะเปิดให้พัฒนาภายใต้รูปแบบสัญญาเช่าระยะยาว เวลาสัมปทานสูงสุดถึง 30 ปี ทั้งบนที่ราชพัสดุ (Leasehold) และที่ดินกรรมสิทธิ์ (Freehold) ของ AOT เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการหลากหลายรูปแบบ อาทิ ศูนย์โลจิสติกส์, คลังสินค้า,โรงแรม, ศูนย์ประชุม, ศูนย์การค้า, โรงพยาบาล, สนามกีฬา, รวมถึงโครงการด้านที่อยู่อาศัยและเมืองอัจฉริยะสมัยใหม่ ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ติดถนนสายหลัก ใกล้สนามบิน และเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศพื้นที่เหล่านี้จึงพร้อมพัฒนาให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่และกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Aviation Hub แห่งภูมิภาคเอเชีย
โดยโครงการนี้จะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Hub) ในหลายภูมิภาคของประเทศ สร้างการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อม เสริมสร้างมูลค่าเศรษฐกิจฐานราก และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของท่าอากาศยานไทยในระดับสากล ซึ่ง AOT พร้อมเปิดรับความร่วมมือจากนักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างสรรค์พื้นที่แห่งโอกาสร่วมกัน
สำหรับ 6 เสาหลักแห่งโอกาสการลงทุน (The Six Pillars of Opportunity) มีทั้งที่ราชพัสดุ และที่ดินกรรมสิทธิ์ แปลงศักยภาพมากถึง 46 แปลง รวม 2,512 ไร่ ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นส่วนของพื้นที่ราชพัสดุ Leasehold ที่ AOT เช่าจากกรมธนารักษ์ร้อยละ 73 และเป็นพื้นที่กรรมสิทธิ์แบบ Freehold ที่ AOT ถือกรรมสิทธิ์เอง ประกอบด้วย
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK): แปลง “Airport Business” 4 แปลง รวม 548 ไร่ (Leasehold) ที่ดินทำเลทองภายในสนามบิน ใกล้ศูนย์ขนส่งสาธารณะ ติดถนนสุวรรณภูมิ 4 และถนนสุวรรณภูมิ 2 เชื่อมต่อกับถนนลาดกระบัง และถนนบางนา-ตราด และห่างจากอาคารผู้โดยสารเพียง 9 นาที แปลง A2, B, C และ D เหมาะสำหรับ Medical Hub & Wellness Center / Convention Hall & Exhibition Center / Hotel & Residential Area และแปลง “ศูนย์บริการและสนับสนุนกิจการท่าอากาศยาน” ที่ดิน (Freehold) 7 แปลง ขนาดรวม 462 ไร่ มีถนนและสะพานยกระดับเชื่อมจากภายนอกเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้าออกผ่านทางถนนลาดกระบัง-วัดศรีวารีน้อย ได้ด้วยถนน 4 เลน และห่างจากอาคารผู้โดยสารเพียง 15 นาที เหมาะสำหรับ Logistics & Transportation Hub ศูนย์จัดการสินค้าเกษตร Hotel & Residential Area
ท่าอากาศยานดอนเมือง (DMK) : อาคาร Junction Building พื้นที่เชิงพาณิชย์ 12,000 ตร.ม. พื้นที่จอดรถ 3 ชั้น รองรับการใช้งานกว่า 1,000 ช่องจอด และมีโครงการพัฒนาต่อเนื่องเป็นโรงแรม และอาคารจอดรถเพิ่มเติม
ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (CNX) : ที่ดิน 3 แปลง ทำเลทองรวม 19 ไร่ (Leasehold) ติดถนนเชียงใหม่ – หางดง เดินทางถึงอาคารผู้โดยสารเพียง 13 นาที ในย่านชุมชน และสถานีขนส่งจังหวัด เหมาะสำหรับ Hotel & Residential Area / Office & Business Center / Commercial & Lifestyle Complex
ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) : ที่ดินแปลงสวยขนาดใหญ่ บนที่ตั้งของสนามบิน รวม 762 ไร่ เดินทางถึงอาคารผู้โดยสารภายใน 5 นาที และเดินทางเข้าออกเมืองสะดวก ติดถนนเชื่อมต่อเมืองและสนามบิน เหมาะสำหรับ Hotel & Residential Area / Office & Business Center / Commercial & Lifestyle Complex / Premium Outlet / Logistics & Transportation Hub
ท่าอากาศยานภูเก็ต (HKT) : ที่ดินแปลงเด่น 7 แปลง รวม 192 ไร่ (Freehold) ใกล้ถนนเทพกษัตรี –ในยาง แปลงทำเลทองที่ติดถนนหลักเข้าสู่ตัวเมืองภูเก็ต เดินทางถึงอาคารผู้โดยสารเพียง 6 นาที รองรับกิจกรรมหลากหลายในการพัฒนา อาทิ Hotel & Residential Area / Convention Hall & Exhibition Center / Medical Hub & Wellness Center
ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (HDY) : ที่ดิน 4 แปลงใหญ่ 15 แปลงย่อย รวม 502 ไร่ (Leasehold) ที่ดินให้เลือกพัฒนาที่ตั้งภายในและภายนอกสนามบิน ติดถนนหลักเชื่อมต่อเมืองและสนามบิน เดินทางถึงอาคารผู้โดยสารเพียง 5 นาที เหมาะสำหรับ Hotel & Residential Area / Office & Business Center / Commercial & Lifestyle Complex / Logistics & Transportation Hub
“สำหรับพื้นที่รอบๆ ท่าอากาศยาน 6 แห่ง ที่นำเสนอในครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการเติบโตของรายได้สำหรับ AOT และผู้ประกอบการ เพราะในอดีตสัดส่วนรายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในโครงสร้างรายได้ของ AOT ยังมีสัดส่วนน้อยมาก โดยการปิดพื้นที่ 2,512 ไร่ ประเมินว่าที่ดินดังกล่าวมีศักยภาพและน่าสนใจมีมากกว่า 70% ของพื้นที่เปิดเผยโดยเฉพาะพื้นที่สุวรรณภูมิมีประมาณ 40% ของที่ดินที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะแปลงที่อยู่ตรง “วัดศรีวารีน้อย”มีขนาด 400 กว่าไร่ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ประมาณ 5 แปลงหลักๆ หรือซอยย่อยได้อีก เนื่องจากมีแผนทำถนนเชื่อมเข้าสุวรรณภูมิเดินทางเพียงประมาณ 10 กว่านาที และมีที่ดินในสนามบินเชียงรายค่อนข้างเยอะเป็นพื้นที่รอบๆ ท่าอากาศยาน” นางสาวปวีณา กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกเป็นไปตามระเบียบของ AOT หากกิจกรรมใดเกี่ยวข้องกับ พรบ. ร่วมลงทุน (PPP Law) จะต้องเข้ากระบวนการตาม พรบ. ร่วมลงทุนฉบับปี 2556 ซึ่งกำหนดไว้ 13 กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบิน เช่น คลังสินค้า บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ในกรณีที่ผู้สนใจเสนอกิจกรรมในที่ดินแปลงเดียวกันจะมีคณะกรรมการพิจารณาว่ากิจกรรมใดที่เหมาะสมที่จะให้เข้ามาลงทุน โดยพิจารณาจากกิจกรรมที่ส่งเสริมทั้ง AOT และกิจการสนามบิน หรือกิจกรรมที่ส่งเสริมชุมชนภายนอก อย่างไรก็ตามการพิจารณาเบื้องต้นนี้สุดท้ายแล้วก็อาจต้องเปิดประมูล
ส่วนระยะเวลาดำเนินการและสัญญาเช่าสำหรับพื้นที่ที่มีอาคารพร้อมแล้ว เช่น การทำร้านค้า ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน สำหรับการลงทุนในพื้นที่แปลงเปล่า ขึ้นอยู่กับว่าเป็นกิจการอะไร และส่งเสริมทั้งคู่ (ผู้ลงทุนและ AOT) ระยะเวลาของสัญญาเช่ามีหลายรูปแบบตั้งแต่ สั้นสุด 3 ปี, 5 ปี, 10 ปี, 20 ปี ส่วนพื้นที่ใหญ่ๆที่มีการลงทุนสูงและต้องใช้เวลาคุ้มทุน AOT มีหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ชัดเจนและให้ระยะเวลาการเช่าที่คุ้มค่าระยะเวลาเช่าสูงสุดในปัจจุบันคือ 30 ปี เนื่องจาก AOT มีสัญญาใช้พื้นที่ราชพัสดุกับการธนารักษ์เหลืออยู่ 30 ปีในปัจจุบัน การเจรจาสัญญาต่อเป็นเรื่องของอนาคต
สำหรับความคืบหน้าและผู้ที่สนใจขณะนี้ผู้ที่สนใจเข้ามาสอบถามและขอข้อมูลส่วนใหญ่เป็น ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับ AOT อยู่แล้วคาดว่าจะเห็นความชัดเจนเกี่ยวกับผู้ที่จะเข้ามาร่วมทำกิจกรรมในบางแปลงก่อนปลายปีนี้เนื่องจากบางแปลงพร้อมดำเนินการอยู่แล้ว
“ขณะที่แผนแม่บทและการลงทุนในอนาคต AOT กำลังศึกษาแผนแม่บทใหม่ตามระเบียบของสำนักงานการบินพลเรือน ซึ่งจะต้องเข้าครม. อนุมัติ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณสิงหาคมหรือกันยายน แผนนี้เป็นแผนที่ปรับปรุงใหม่ การลงทุนในแผนแม่บทใหม่ ต้องมีการปรับปรุงตัวเลขการลงทุนด้วย รวมถึงโครงการใหญ่ เช่น South Terminal ซึ่งเดิมกำหนดไว้ประมาณ 150,000 ล้านบาท แต่ AOT จะต้องกลับไปดูเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ส่วนกรณีลูกหนี้การค้าบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD ต้องไปจับตาตัวเลขผลการดำเนินงานไตรมาส 2 (งวดม.ค.-มี.ค.68) )ที่คาดว่าจะประกาศในวันที่ 12 พ.ค.68 นี้” นางสาวปวีณา กล่าวเพิ่มเติม
นอกจากนี้บริษัทวางเป้าจำนวนผู้โดยสารในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 140 ล้านคน และจะเติบโตไปเรื่อยๆ ซึ่งมองว่ามีศักยภาพที่จะเติบโตได้ประมาณ 7% จากจำนวนผู้โดยสารรวม 119 ล้านคนในปี 2567และตั้งเป้าขยายขีดความสามารถทุกสนามบินทั้วประเทศเป็น 244.50 ล้านคนต่อปีภายในปี 2575
นอกจากนี้ภายในงานฯยังได้มีการจัดเสวนาภายใต้หัวข้อ “โอกาสทองอสังหาริมทรัพย์ของ AOT ก้าวสู่การเป็น AVIATION HUB” ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการอิสระและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง AOT ร่วมถ่ายทอดมุมมองการพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานแต่ละแห่ง พร้อมแนวทางการสร้างสร้างรายได้อย่างสมดุลจากการพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณโดยรอบท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT พร้อมชี้ให้เห็นถึงโอกาสของการลงทุนในรูปแบบ “การเช่าที่ดินระยะยาว” ที่ภาคเอกชนสามารถพัฒนาโครงการได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ศูนย์การค้า คลังสินค้า โรงแรม สนามกีฬา ที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม เป็นต้น รวมทั้งเสนอแนะสิ่งสำคัญ
สำหรับนักลงทุนที่มีความสนใจเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาพื้นที่โดยเน้นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมในหลายมิติ อาทิ การวางแผนธุรกิจระยะยาว การจัดการด้านการเงิน ความเข้าใจข้อกำหนดและขั้นตอนของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บนที่ดินราชพัสดุ และความสามารถ ในการออกแบบโครงการให้ตอบโจทย์ทั้งตลาดและทิศทางเมืองในอนาคตเพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub)
ด้านนายศิโรตม์ ดวงรัตน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด) AOT ร่วมเผยยุทธศาสตร์ใหม่ของ AOT ที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพย์สินอย่างชาญฉลาดภายใต้แนวคิด “การสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินทรัพย์” ซึ่งถือเป็นการสร้างประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยูให้เป็นรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการด้านการบินเพิ่มเติม และตอบโจทย์การเติบโตของเมือง ศูนย์กลางการเดินทาง และการเชื่อมโยงโลจิสติกส์ ในส่วนของการเตรียม
ความพร้อม AOT ได้กำหนดอัตราค่าเช่าที่ดินอย่างเหมาะสม โดยเริ่มต้นตั้งแต่ 4 บาท/ตารางวา/เดือน ถึง 240 บาท/ตารางวา/เดือน พร้อมจัดเตรียมระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็น สิทธิ์การเช่า และรูปแบบธุรกิจที่ยืดหยุ่นเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ภายใต้ระบบที่โปร่งใส ยืดหยุ่นและเป็นธรรม โดย AOT พร้อมอำนวยความสะดวกด้านข้อมูลโดยตรง ไม่ผ่านคนกลาง รวมถึงจัดกิจกรรม Property Tour เพื่อพาผู้สนใจเยี่ยมชมพื้นที่จริง พร้อมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับที่ตั้ง โครงการ และอัตราค่าเช่า เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุน
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการ TDRI Economic Intelligence Service สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกด้านเศรษฐกิจ ทำเลทอง เสริมทัศนะด้านเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะบทบาทของทรัพย์สินรอบสนามบินที่มีศักยภาพต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคและการกระจายศูนย์กลางการลงทุน โอกาสสำหรับภาคการท่องเที่ยวและบริการที่ยังคงเป็นความหวังสำคัญของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีแนวโน้มจะเปลี่ยนรูปแบบจากการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ ไปสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่เน้นมูลค่าเพิ่มและความยั่งยืน
การจัดงาน “AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity” ครั้งนี้ จะนำไปสู่การสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ควบคู่ไปกับการส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันด้านธุรกิจการบินของประเทศผ่านการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนร่วมลงทุนพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยาน ซึ่งสามารถกระจายโอกาสเกิดการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับประชากรในทุกพื้นที่และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทั้งยังตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างครบวงจร ตอกน้ำความเป็นผู้นำของ AOT ด้านจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักเดินทางจากทั่วโลกถึงความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค