สังคมเสียสติขี่พายุ ทะลุฟ้า

สังคมไทยเราเวลานี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากโดยไม่รู้ตัว


ชาญชัย สงวนวงศ์

 

สังคมไทยเราเวลานี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากโดยไม่รู้ตัว

ปัญหาเล็กปัญหาน้อย ถูกลากโยงเข้าไปเป็น “สงครามสี” โดยง่าย และพอเป็น “สงครามสี” เสียแล้ว เหตุผลก็หาย ถูก “อคติ” เข้ามาแทนที่

ยิ่งหลักความเป็นธรรม ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

พอสงสัยว่าคนนั้น เป็นสีนั้นสีนื้ ก็เชื่อได้ว่า เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้เสียแล้ว

ถ้าเชื่อได้ว่าเป็นคนสีเดียวกันแล้วล่ะก็ ผิดมากก็กลายเป็นผิดน้อย หรือกลายเป็นถูกหน้าตาเฉยไปเสียเลยก็ยังได้

เห็นผิดอยู่ทนโท่ ก็ยังทำเป็นตาบอด มองไม่เห็นเสียได้

แต่ถ้าเชื่อได้ว่า เป็นคนต่างสีกัน อันนี้จะน่ากลัวมาก เพราะจะไล่ล่ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย และก็อย่างว่า…

ต้องผิดสถานเดียว และผิดน้อยก็ต้องกลายเป็นผิดมาก ต้อง “ไล่ล่า” กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

กรณีสรยุทธ สุทัศนจินดา ก็เป็นกรณีที่เข้าทำนอง”สงสัย จึงเชื่อได้ว่า”ดังกล่าวนี้

ก็สงสัยจะเป็นนักเล่าข่าวเสื้อแดงนี่สิ ถึงเชื่อได้ว่าต้องโกงร้ายแรงชนิดให้อภัยไม่ได้ และต้องเผชิญกับโทษทัณฑ์อันหนักหน่วง ทั้งกระแสไล่ล่าและอะไรต่อมิอะไร

ถ้าเชื่อได้ว่าสรยุทธมิใช่นักเล่าข่าวเสื้อแดงซะอย่าง สรยุทธก็คงไม่ต้องเผชิญชะตากรรมหนักหน่วงเช่นนี้

สรยุทธต้องกลายเป็น “โฆษกเสื้อแดง” ไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะสื่ออื่นๆ หยุดการตรวจสอบฝ่ายอื่น โดยเฉพาะฝ่ายที่ยกตัวเอง เป็น”คนดี”ไปเสียทั้งหมดแล้ว

โรงพักร้างเอย หนีทหารเอย คดีสั่งฆ่า99ศพเอย หรือคดีเขายายเที่ยงเอย สื่อทั่วไปหยุดการตรวจสอบหมด หรือไม่พูดถึงเอาเสียเลย

ผิดกับขั้วการเมืองอีกฝั่งหนึ่ง ขนาดยังไม่ทันลงมือทำอะไร ก็โดนตราหน้าหาว่า “โกง” เสียแล้ว

กรณีเหตุการณ์ชุมนุม มีคนตายแค่ 2 ศพ การเล่นงานเอาผิดผู้รับผิดชอบสถานการณ์ ก็ยังยึดยาวมาถึงเดี๋ยวนี้

แต่กรณีเหตุการณ์ชุมนุมมีคนตายถึง 99 ศพ คดีกลับทำท่าจะยุติลงแล้ว และผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ก็เบาตัวไป อาจไม่ต้องรับโทษอะไร

สรยุทธ์ผิดที่ไม่เหมือนสื่ออื่น ตรงเข้าตรวจสอบทุกฝ่ายนี่แหละ

ช่วงสัมภาษณ์เสื้อเหลืองหรือพวกเป่านกหวีด หากเนื้อหาสัมภาษณ์ออกมาดีก็เป็นเพื่อนเสื้อเหลืองกันได้ แต่ถ้าวันไหนสัมภาษณ์เสื้อแดง ก็กลายเป็นว่า สรยุทธเป็นพวกเสื้อแดงไปในทันที

ทั้งที่สื่อเป็นกลาง จะต้องตรวจสอบทุกฝ่ายโดยเสมอภาค ผิดกับ “สื่อเลือกข้าง”  ที่เลือกตรวจสอบเพียงข้างเดียว และผ่อนปรนให้กับพวกที่ตัวเองรักชอบ

พร้อมจะ“ปฏิบัติการ2มาตรฐาน” ได้ตลอดเวลา

สื่อสารมวลชนประเทศไทย เดินทางมาถึงจุดนี้ คือเป็น“สื่อเลือกข้าง” กันเสียเป็นส่วนใหญ่แล้วครับ

เรื่องฉาวโฉ่ของ “สื่อ” ในทำนองเดียวกับสรยุทธ ก็ไม่ใช่ไม่เคยมี แต่ถูกฝังกลบออกจากเมมโมรี่ไปเรียบร้อยหมดแล้ว โดยไม่มีการ”ไล่ล่า”เหมือนกรณีสรยุทธ

กรณีโฆษกดังมีความสัมพันธ์เลยเถิดทางเพศกับสาวกการชุมนุมก็มีไม่ใช่หรือ

แล้วก็ยังมีกรณีเจ้าของสื่อหาประโยชน์โดยมิชอบกับบริษัทในหว่านเครือตัวเองอีก

ไม่เห็นจะมีรายการ “ไล่ล่า” หรือเรียกร้องให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เหมือนอย่างกรณีสรยุทธโดนเลย

สื่อเลือกข้างพากันรุมถล่ม องค์กรคนดีหรือองค์การต้านทุจริตจอมปลอมทั้งหลาย ก็ดาหน้าโหนกระแสกันเข้ามารุมสกรัมราวกับฝูงไฮยีน่า

น่าเห็นใจ สื่อเป็นกลางอย่างสรยุทธ ไม่มีที่ยืนในสังคมเสียสติ

                                             

Back to top button