อคติเชิงบวก-สุนิยมขี้สงสัยพลวัต 2016

ราคาน้ำมันดิบลงไม่เป็นต่อไป จากแรงเก็งกำไรกองทุนขนาดใหญ่ที่ดันมาปิดสถานะในตลาดล่วงหน้า จนเกิดคำถามว่าจะไปถึงไหน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดอาการ“ขาลอย" ไปตามๆ กัน เพราะวิ่งขึ้น 3 สัปดาห์โดยพักเล็กน้อยมากบางวัน จนเข้าเขตซื้อมากเกินเพราะซื้อจนบางกลุ่มแทบหมดหน้าตัก


วิษณุ โลลิตกุล

 

ราคาน้ำมันดิบลงไม่เป็นต่อไป จากแรงเก็งกำไรกองทุนขนาดใหญ่ที่ดันมาปิดสถานะในตลาดล่วงหน้า จนเกิดคำถามว่าจะไปถึงไหน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดอาการขาลอย” ไปตามๆ กัน เพราะวิ่งขึ้น 3 สัปดาห์โดยพักเล็กน้อยมากบางวัน จนเข้าเขตซื้อมากเกินเพราะซื้อจนบางกลุ่มแทบหมดหน้าตัก

โจทย์ที่รออยู่ข้างหน้า (คาดเดากันว่าอย่างช้าสุดคือสัปดาห์นี้) ไม่ได้อยู่ที่ว่าตลาดหุ้นจะลงหรือขึ้น แต่อยู่ที่ว่า จะลงวันไหน และ ลงไปลึกแค่ไหน

คนมองโลกเชิงบวกจะบอกว่า คงพักฐานเล็กๆ แล้วมีข่าวดีดันต่อไปหาแนวต้านใหม่ แต่อีกขั้วหนึ่งก็บอกว่า ขึ้นมาผิดธรรมชาติและแรงเกิน ลงก็ต้องแรงเช่นกัน

คำตอบที่มีลักษณะขัดแย้งกัน เพราะคนตอบไม่ใช่เทพพยากรณ์แห่งเดลไฟในประวัติศาสตร์กรีกโบราณ เข้าข่ายตาบอดคลำช้าง” เช่นนี้ ทำให้เกิดการถกเถียงที่ตั้งโจทย์ใหม่เข้ากับจังหวะเวลาว่า นักลงทุน (โดยเฉพาะกองทุนใหญ่ทั้งหลายที่ดันหุ้นรอบล่าสุดนี้) เป็นคนที่มีจิตวิทยาการลงทุนแบบไหนระหว่างพวกอคติเชิงบวก” (positive bias) กับพวกสุนิยมขี้สงสัย” (cautious optimism)

นักลงทุนที่เป็นพวกมีอคติเชิงบวกนั้นจะเชื่อว่าหุ้นและตลาดเก็งกำไร ได้ทดสอบและผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว เนื่องจากข่าวร้ายทั้งหลายถูกดูดซับไปหมด จนกระทั่งเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ชัดเจนขึ้น ทั้งจากอุปทานน้ำมันล้นตลาด เศรษฐกิจจีน ยูโรโซน เงินฝืดในญี่ปุ่น และเฟดขึ้นดอกเบี้ย ไม่มีข่าวร้ายอะไรที่จะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงต่อ และหุ้นจะมีพี/อีต่ำกว่าจุดต่ำล่าสุด การซื้อในช่วงเวลา ต้องซื้อ” ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่มึนชาจึงเป็นจังหวะที่เหมาะสม และทำกำไรง่ายขึ้น

ที่สำคัญเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงของตลาดทุนทั่วโลกเปิดช่องให้ทำกำไรหลายทางได้สะดวกมากขึ้น

นักลงทุนที่สุนิยมขี้สงสัยจะเชื่อว่า ดัชนีที่พุ่งแรงจะมีความเสี่ยงขาขึ้น(upside risk) เหลือแค่ไหน และควรถือเงินสดลดพอร์ตลงเท่าใดถึงจะเหามะสมทั้งไม่เสี่ยง และยังทำกำไรต่อได้

ตัวอย่างง่ายสุด และชัดเจน ไม่ต้องไปดูไกลถึงวอลล์สตรีท อยู่ที่ตลาดหุ้นไทยนี่เอง

กองทุนต่างชาติที่มีบทบาทเข้ามาซื้อสุทธิดันดัชนีตลาดแรงสุดรอบนี้ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ มีอุปกรณ์ครบครันในทุกตลาด เรียกได้ว่ารอบนี้ “เขี้ยว” กว่าเดิม เพราะหากำไรจากทั้งตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ดันค่าบาทแข็งเกือบ 1บาทต่อดอลลาร์ ซื้อพันธบัตรรัฐบาล  แล้วลากยาวซื้อเฉพาะเจาะจงที่หุ้นบลูชิพที่มีผลคำนวณน้ำหนักดัชนีมากสุด เพื่อทำให้ดัชนี SET50 FUTURES ในตลาดตราสารอนุพันธ์ จนซื้อสะสมล่วงหน้ามาถึงเป็นสถิติใหม่กันเลยทีเดียว หากปิดสถานะ กำไรทุกช่วงเพราะต้นทุนอยู่ที่ระดับ800จุดเท่านั้น

หน้าตักมหาศาลจนมียอดสะสมซื้อสุทธิเกิน 1.3 หมื่นล้านบาท เฉพาะ 4 วันแรกของเดือนมีนาคม จนกระทั่งยอดสุทธิปีนี้ เปลี่ยนจากขาย มาเป็นซื้อ 5.7 พันล้านบาท มากกว่ากองทุนรวมที่มียอดอยู่ 5.3พันล้านบาท เพราะเริ่มรู้ทัน ทยอยออกไปก่อนหน้าแล้วเรียบร้อยเกือบหมด เหลือเสี่ยงเล็กน้อยขาดทุนได้ ในระดับคืนกำไร

ความนกรู้ของกองทุนรวมนี้ สังเกตได้จากการที่กองทุนยังสะสมสถานะ Short ในตลาดอนุพันธ์ไปเรื่อยๆ เพื่อเฉลี่ยต้นทุน และรอจังหวะเหมาะสมขายทั้งหุ้น และปิดสถานะSET50 FUTURES

หากต่างชาติจะ “ออกของ” ที่ดัชนีที่ระดับ 1,400 จุดบวกลบ (คิดเป็นบวกไปจากก้นเหว 8%) ยังไงก็กำไรทั้งขาขึ้น ขาร่วง และเป็นจังหวะที่กองทุนจะทำกำไรรอบใหม่

มีแต่พวกหน้าตักน้อยเท่านั้นที่ต้องสุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะรายย่อยที่ 3 สัปดาห์นี้ ขายสุทธิออกไปมากกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการขายออกมาในสัปดาห์ที่ผ่านมาประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาทล้าน. ความสุ่มเสี่ยงของรายย่อยจะเกิดขึ้นกับ 2 กลุ่มคือพวกที่ขายออกของไปแล้ว วกกลับมาซื้อใหม่เพราะกลัว ขายหมู” กับพวกไร้เดียงสาที่เชื่อว่าหากพักฐานรอบใหม่นี้ ดัชนีจะลงไม่ลึกเหมือนเดิม เนื่องจากเชื่อนักวิเคราะห์สัญญาณทางเทคนิคที่บอกว่าขาลงได้จบสิ้นสมบูรณ์แล้ว (คำพูดซ้ำเดิมกับเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาเปี๊ยบ)

ปรากฏการณ์หุ้นขึ้นแรงจนมีคำถามว่ากระทิงแท้หรือเทียม ไม่ได้เกิดเฉพาะเมืองไทยอย่างเดียว ที่ลอนดอน ฟรังเฟิร์ต นิวยอร์ก หรือโตเกียว ที่ดัชนีทะลุแนวต้านขึ้นไป12-15% ล้วนมีคำถามเช่นกัน จะมียกเว้นก็ที่เซี่ยงไฮ้ ที่ดัชนีหุ้นยังไม่สามารถเป็นอิสระจากการเมือง

วันศุกร์ที่ผ่านมา ก่อนการประชุมสภาประชาชนจีน ซึ่งนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อ เฉียง รายงานดารปรับลดจีดีพีของประเทศลง จาก7.0% เหลือ6.5% กองทุนรัฐบาลจีนที่หนุนหลังโดยธนาคารกลางให้เป็นพี่เบิ้มในตลาดเซี่ยงไฮ้ พากันเข้าซื้อหุ้นธนาคารใหญ่จนดันชีนี้ที่ลบอยู่ขึ้นไปปิดบวกทำสถิติสูงสุดในปีนี้ ในขณะที่หน่วยงาน ก.ล.ต.และตลาดจีน พากัน”กระซิบ”ให้กองทุน โบรกเกอร์ และขาใหญ่ ดูแลเสถียรภาพของตลาด ระหว่างการประชุมสภาประชาชนจนกว่าการประชุมจะจบสิ้นลง

การวิ่งขึ้นของราคาและดัชนีหุ้น ที่สอดรับไปกับราคาทองคำที่วิ่งสู่ระดับนิวไฮระลอกใหม่รอบหลายเดือนเช่นกัน อย่างผิดปกติ ทำให้มีคำถามว่า นักลงทุนกำลังคิดอะไรกันอยู่ เพราะในระยะยาว เป็นไปไม่ได้เลยที่ตลาดจะเป็นขาขึ้นพร้อมกันทุกตลาดเช่นนี้

ตลาดหุ้นคงจะไม่เป็นขาขึ้นไปอย่างผิดธรรมชาติไปแบบนี้อีกนาน เพราะดูเหมือนจะเริ่มมีสัญญาณชัดเจนจากตลาดเงินแล้วว่า ดอลลาร์ที่อ่อนยวบมาตลอดเดือนเทียบเงินสกุลอื่นทั่วโลก ได้พบกับจุดต่ำสุดของมันจากตลาดเช่นกัน

หลายวันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาแผนกค้าเงินตราของดอยช์แบงก์แห่งเยอรมนี ทำการซื้อดอลลาร์เข้ามือมากจนผิดสังเกต  ก่อนที่จะมีคำอธิบายว่า เชื่อมั่นว่าทิศทางของนโยบายเฟดที่จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ 1%จะมีผลปฏิบัติ เพราะท่าทีไม่เป็นทางการของกรรมการเฟดบางตนที่ว่ากังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกนั้น เป็นแค่”สับขาหลอก”ธรรมดาเท่านั้น

ตัวเลขการจ้างงานเพิ่มและว่างงานที่โดดเด่น แม้ว่าค่าจ้างเฉลี่ยจะไม่เพิ่มขึ้น สะท้อนว่า “ดัชนีความทุกข์หรือMissery Index (คำนวณจากเงินเฟ้อ ถ่วงน้ำหนักด้วยการว่างงาน)ของสหรัฐฯพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว ดังนั้นเฟดต้องเผชิญกับแรงกดดันให้ขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ โดยไม่ต้องพะวงกับการถดถอยของจีนหรือความปั่นป่วนของตลาดหุ้นโลกหรือราคาน้ำมัน

ทางเลือกแบบHobson’s Choice (การเลือกที่ไม่อาจปฏิเสธได้เพียงข้อเดียว) ของเฟดคือการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะผลักดันให้คนกลับมาถือดอลลาร์ใหม่อีกครั้ง ค่าดอลลาร์เทียบสกุลอื่นจะ ทะยานขึ้นจากจุดต่ำสุดอีกระลอก นั่นหมายถึงการถอนตัวจากตลาดเกิดใหม่ของทุนเก็งกำไร กลายเป็นฟันด์โฟลว์ไหลออกระลอกใหม่

มุมมองดังกล่าว จะถูกต้องหรือไม่ รู้กันในการประชุมเฟดนัดที่สองของปีนี้กลางเดือนนี้เป็นต้นไป

สถานการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะมีส่วนโยงใยเข้ากับคำทำนายของโหราจารย์เรื่องดาวมฤตยูหรือยูเรานัสทับดวงเมือง และทับดวงตลาดหุ้นไทย เริ่มตั้งแต่เมื่อวานนี้ มากน้อยแค่ไหน  เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม จะเชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นสิทธิ์ที่ห้ามกันไม่ได้ และไม่ควรไปบังคับกะเกณฑ์”ปรับทัศนคติ”แบบป่าเถื่อนในนามของความรักชาติจนคลั่ง

ยามนี้ รู้กันแค่ว่า คำอุทานง่ายๆของโก๊ะตี๋ นักแสดงตลกที่ว่า “โลกทุนวันนี้อยู่ยาก” ใช้ได้กับการลงทุนตลาดหุ้นไทยยามนี้ พอแล้ว

ขอให้โชคดีในการล่า และก้าวข้ามจิตสำนึก อคติเชิงบวก” กับ สุนิยมขี้สงสัย” ในระยะนี้ไปได้ ด้วยทั้งเก่งและเฮงโดยไม่บาดเจ็บชอกช้ำเหมือนครั้งก่อนๆ

 

Back to top button