EASTW ยก Water Complex สู้ภัยแล้ง เชื่อสถานการณ์น้ำพ้นวิกฤตได้

EASTW ยก Water Complex สู้ภัยแล้ง เชื่อสถานการณ์น้ำพ้นวิกฤตได้


นายวิทยา ฉายสุวรรณ ประธานคณะกรรมการ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน)หรือ EASTW เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำในประเทศไทยน่าเป็นห่วง ทุกคน ทุกหน่วยงาน ต้องเริ่มมาตรการประหยัดน้ำกันอย่างจริงจังตั้งแต่บัดนี้เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดช่วงฤดูแล้งที่กำลังมาถึง

โดยบริษัทตั้งเป้าลดการใช้น้ำลง 20% พร้อมทั้งได้นำระบบน้ำรีไซเคิลมาใช้ในอาคารเพื่อนำน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่ตามนโยบายของรัฐบาล

ที่ผ่านมา EASTW ได้นำเสนอแนวคิดการบริหารจัดการน้ำที่เน้นการใช้น้ำทุกหยดอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในโครงการ Water Complex ซึ่งเป็นการวางระบบน้ำแบบครบวงจรให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละอุตสาหกรรมและสามารถนำน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่

สำหรับ Water Complex สามารถนำมาใช้กับภาคครัวเรือนได้ด้วย โดยการวางระบบน้ำ Reclaimed หรือระบบน้ำแบบ 2 เส้นท่อ แยกท่อน้ำดีกับท่อน้ำเสียออกจากกัน เพื่อนำน้ำที่ใช้แล้วมาผ่านระบบบำบัดขนาดเล็กและกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำน้ำทิ้ง กลับมาใช้ใหม่ในระบบฟลัดชิ่งและรดน้ำต้นไม้ คาดว่าจะมีน้ำเพิ่มขึ้นในระบบอีกกว่า 800 ล้านลบ.ม.ต่อปี

ทั้งนี้ปริมาณน้ำที่นำกลับมาใช้ใหม่เมื่อรวมๆ กันแล้วทียบได้กับความจุของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  ดังนั้น ระบบ Water Complex น่าจะเป็นการจัดการน้ำที่สามารถแก้ปัญหาการแย่งน้ำระหว่างภาคเกษตรกรรมและอุปโภคบริโภคในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

ส่วนสถานการณ์น้ำในภาคตะวันออก สถานการณ์น้ำโดยรวมไม่น่าเป็นห่วง ยกเว้นในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและฉะเชิงเทราที่ยังคงต้องเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตาม EASTWได้มีแผนสำรองเพื่อป้องกันภัยแล้ง โดยมีการจัดหาแหล่งน้ำสำรองจากบ่อดินเอกชน เพิ่มอีก 4.6 ล้านลบ.ม. อีกทั้งเร่งรัดโครงการวางท่อส่งน้ำดิบหนองปลาไหล-หนองค้อ2 ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อส่งจ่ายไปยังผู้ใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมและอุปโภคบริโภคในพื้นที่ชลบุรีและฉะเชิงเทรา

นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาสระเก็บน้ำดิบทับมา เพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนให้แก่พื้นที่ระยอง ซึ่งตามแผนจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 59 อีกทั้งยังได้ให้บริการวิ่งรถบริการจ่ายน้ำประปาและนำรถน้ำดื่มเคลื่อนที่ออกบริการประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติการเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีน้ำกินน้ำใช้ในช่วงฤดูแล้งด้วย

อีกทั้งยังมีการประชุมร่วมกันกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมชลประทาน  การประปาส่วนภูมิภาค และกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประจำทุกเดือนเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จึงมั่นใจว่าภาคตะวันออกจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตภัยแล้งไปได้เช่นเดียวกับปีก่อนอย่างแน่นอน

ขณะที่ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักในพื้นที่ระยอง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ดอกกราย คลองใหญ่ และประแสร์ มีปริมาณน้ำรวมอยู่ที่ 211.59 ล้านลบ.ม.คิดเป็น 73.3% มากกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.4% ซึ่งหากฝนไม่ตกปริมาณน้ำนี้จะสามารถใช้ได้ไปอีก 7 เดือน สำหรับอ่างเก็บน้ำบางพระ และอ่างเก็บน้ำหนองค้อ ในพื้นที่ชลบุรี มีปริมาณน้ำอยู่เพียง 41.97 ล้านลบ.ม.คิดเป็น 30.3% ของความจุอ่างทั้งหมด ต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.6%

ด้านเศรษฐกิจการลงทุนในภาคตะวันออกในปี 59 การลงทุนยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ปลวกแดง-บ่อวิน เนื่องจากปัจจัยส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐและการเริ่มเข้าสู่ประช่าคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งสอดรับกับปริมาณความต้องการใช้น้ำในปีนี้ที่เพิ่มขึ้น 2-3% จากปีก่อน

ทั้งนี้ ปี 59 สถานการณ์ภัยแล้งมาเร็วและคาดว่าน่าจะรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก 4 แห่ง มีน้ำใช้ได้รวม 2,945 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 16% แบ่งเป็นเขื่อนภูมิพล 811 ล้านลบ.ม.เขื่อนสิริกิติ์ 1,459 ล้านลบ.ม. เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน 290 ล้านลบ.ม. และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 385 ล้านลบ.ม.อ้างอิงข้อมูลจากกรมชลประทาน  ณ วันที่ 1 มี.ค.59 ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอถึงเดือนมิ.ย.59

อย่างไรก็ตาม จากสถิติการใช้น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พบว่ายังคงมีการใช้น้ำในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งภาคการเกษตรภาคอุตสาหกรรม สถานประกอบการ และภาคครัวเรือน ที่มีการใช้ร่วมกันประมาณ 20 ล้านลบ.ม.ต่อวัน โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำสูงสุดถึงวันละ 5 ล้านลบ.ม. ทำให้รัฐบาลต้องออกมาขอความร่วมมือกับทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงปัญหาการขาดน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในฤดูแล้งนี้

Back to top button