TCAP แจงกรณีสกสค.เตรียมฟ้องแพ่งเรียกเงินคืน 2.1 พันลบ.

TCAP แจงกรณีสกสค.เตรียมฟ้องแพ่งเรียกเงินคืน 2.1 พันลบ.


บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP ระบุว่า กรณีที่มีข่าวว่าสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.) จะฟ้องแพ่งธนาคารธนชาต เพื่อขอให้คืนเงินจำนวน 2.1 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี โดยอ้างว่าการอนุมัติถอนเงินและปิดบัญชีเงินฝากที่สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ฝากไว้กับธนาคารเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.56 ไม่ถูกต้องนั้น

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว ธนาคารได้มีหนังสือชี้แจงต่อสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ถึงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยละเอียด 3 ครั้ง เมื่อวันที่ 7 ม.ค.59 ,วันที่ 28 ม.ค.59 และวันที่ 23 ก.พ.59 รวมทั้งได้เข้าพบหารือกรณีที่ธนาคาร ไม่สามารถชดใช้เงินที่สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.เรียกร้องได้ ตามเหตุผลดังนี้

1.แบบฟอร์มการถอนเงินและแบบฟอร์มการโอนบาทเน็ต ของรายการดังกล่าว มีการลงนามร่วมกัน โดยผู้มีอำนาจ 2 ราย ตรงตามเงื่อนไขในการสั่งจ่ายเงินที่สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.กำหนด พร้อมนำส่งสมุดเงินฝากเพื่อบันทึกรายการ และผู้มีอำนาจสั่งจ่ายได้ลงนามรับเงินตามจำนวนดังกล่าวจากธนาคารแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติการที่ถูกต้องตามระเบียบของธนาคารว่าด้วยการถอนเงินและการโอนเงินทุกประการ

2.การถอนเงินและการโอนเงิน เป็นไปตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของมติคณะกรรมการ โดยเจ้าหน้าที่ของธนาคาร ไม่มีสิทธิหรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ

3.หนังสือของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ที่ลงนามโดยรองเลขาธิการปฏิบัติการแทนเลขาธิการเรื่องขอปิดบัญชี ซึ่งถูกนำมาเป็นข้อเรียกร้องกับธนาคารว่าเป็นหนังสือที่ออกโดยมิชอบ เป็นการดำเนินการโดยผู้ไม่มีอำนาจ และไม่มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขการปิดบัญชี และการสั่งจ่ายนั้น ไม่ใช่เอกสารที่ใช้สำหรับการถอนเงินและการโอนเงินตามระเบียบของธนาคารแต่อย่างใด

4.สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.ทราบดีอยู่แล้วว่า การอนุมัติให้นำเงินจำนวน 2.1 พันล้านบาท ไปลงทุนซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อรับดอกเบี้ยในอัตรา 7% ต่อปีนั้น เป็นไปตามมติของคณะกรรมการฯทุกประการ และหลังจากนั้นก็ได้รับดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินครบถ้วน แต่เมื่อถึงกำหนดชำระเงินต้นตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วไม่ได้รับเงินต้นคืน ก็จะมาเรียกร้องให้ธนาคารรับผิดชอบแทน ด้วยการนำหนังสือของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค.เรื่องขอปิดัญชี ที่ลงนามโดยรองเลขาธิการปฏิบัติการแทนเลขาธิการมาเป็นข้ออ้างดังกล่าวข้างต้น และกล่าวหาว่าเป็นการกระทำที่ขาดความระมัดระวังของผู้ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ จึงไม่เป็นธรรมต่อธนาคาร และทำให้ธนาคารได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ การถอนเงินฝากกรณีนี้ เป็นการถอนเงินมาตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.56 โดยสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. กรรมการ และผู้บริหารที่รับผิดชอบทราบเป็นอย่างดี และไม่เคยมีข้อท้วงติงใดๆ เกี่ยวกับการถอนเงินนี้มาก่อน ตลอดจนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของธนาคารยังพบว่า เรื่องนี้ได้มีการสอบสวนและตรวจสอบ โดยคณะกรรมการธุรกรรม ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างชัดเจน ธนาคารจึงได้มีหนังสือแจ้งต่อประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และพยานเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม และขอให้พิจารณาทบทวนความเห็นที่เคยเสนอต่อกระทรวงศึกษาธิการด้วย เนื่องจากเป็นที่ทราบจากข่าวในสื่อต่างๆ ว่าการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค.ในเรื่องนี้มาจากความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน

Back to top button