4 โบรกฯเตือนระวัง JAS

5 โบรกฯเตือนระวัง JAS


บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า หลังมีข่าว บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)หรือ JAS เตรียมซื้อหุ้นคืนคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 6,000 ล้านบาท ในการซื้อหุ้นคืนประมาณ 1,426,706,130 หุ้น หรือคิดเป็น 20% ของทุนเรียกชำระแล้ว ส่วนราคาหุ้นที่จะซื้อยังไม่แน่นอน รอการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีของบริษัทในเดือนเม.ย. นี้ก่อน 

ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ตีความว่า JAS อาจจะไม่สามารถที่วางแบงก์การันตีได้ทันตามกำหนด และการซื้อหุ้นคืนจำนวนเงินข้างต้นเมื่อหักเงินสดในมือจากการซื้อหุ้นคืน อาจทำให้มีเงินสดไม่พอสำหรับการจ่ายเงินงวดแรกของใบอนุญาต 4G คลื่น 900 MHz ในขณะที่ความชัดเจนในเรื่องการจ่ายเงินและวางหลักประกันหรือแบงก์การันตียังไม่แน่นอน 

แต่ในมุมมองของบล.อาร์เอชบี คาดว่า การซื้อหุ้นคืนของ JAS น่าจะมีความเกี่ยวโยงกับการขายหุ้นจำนวนหนึ่งให้กับพันธมิตรที่จะเข้าร่วมถือหุ้น JAS โดยอาจจะซื้อหุ้นคืนและขายให้พันธมิตรในราคาที่มีส่วนลด ส่วนกรณีการติดต่อขอสินเชื่อคาดว่า JAS ยังดำเนินการอยู่ แต่อาจขอให้ธนาคารเก็บไว้เป็นความลับจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องพันธมิตรหรือการประกาศเพิ่มทุน

 

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ขอเตือนนักลงทุนที่จะเข้าซื้อหุ้น JAS เพื่อเก็งกำไรว่าซื้อหุ้นแล้วจะไปขายหุ้นคืนที่ราคาหุ้นสูง จะต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น พร้อมตีประเด็นในเรื่องการซื้อหุ้นของ JAS 2 เรื่องคือ 1) การที่ JAS ยังจะใช้เงินซื้อหุ้นคืน ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในช่วงการหาเงินมาจ่ายค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz ถึง 7.56 หมื่นล้านบาท แสดงว่าจะละทิ้งคลื่นนี้แล้ว ทำให้มีการเก็งกำไร JAS ที่จะไปโฟกัสธุรกิจเดิมที่มีกำไรคือ Internet ความเร็วสูง และทำให้ผู้เล่นรายอื่นๆปรับตัวขึ้นดีคือ ADVANC, DTAC และ TRUE เพราะไม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากรายที่ 4 ที่เข้ามาใหม่

และ 2) บริษัทแจ้งว่าจะซื้อหุ้นคืนเป็นการทั่วไป (General Offer: GO) ไม่ได้ซื้อในกระดาน ที่ราคาประมาณ 5.00 บาท ทำให้นักลงทุนมีการซื้อหุ้น JAS เพื่อจะไปขายให้บริษัทที่ราคาสูง หากพิจารณาในประเด็นที่สองจะมีความเสี่ยงมากขึ้น คือ

1) บริษัทยังไม่ชี้ชัดว่าจะใช้ราคาใด จากราคาเฉลี่ยแบบที่ 1 หรือ 2 ซึ่งมีราคาแตกต่างกันมาก หากใช้แบบที่ 1 ก็มีราคาต่ำกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน 20% หากใช้แบบที่สองดูเหมือนจะได้ราคาดีคือ สูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันอีก 35% แต่ก็จะสามารถนำไปเสนอขายได้แค่บางส่วน (Partial) คือ ทางบริษัทจะรับซื้อในสัดส่วนเพียง 16.82-20% จากจำนวนหุ้นที่ไปเสนอขาย หากเป็นกรณีมีจำนวนหุ้นนำไปขายสูงกว่าที่บริษัทรับซื้อ ดังนั้นส่วนเพิ่มที่ได้รับจะลดลงตามสัดส่วนที่รับซื้อเป็น 5.9%-7% เท่านั้น ขณะที่มีความเสี่ยงในข้อถัดไป

 

ขณะที่ บล.กสิกรไทย แนะขาย JAS (ราคาปัจจุบัน 3.92 พื้นฐาน 2.42 -38.30%) โดยเห็นว่าการประกาศซื้อหุ้นคืนจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้นในระยะสั้น การซื้อหุ้นคืนน่าจะทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นต่อความสามารถในการจ่ายค่าคลื่น ซึ่งหาก JAS ไม่สามารถจ่ายค่าคลื่นได้ น่าจะสร้างความเสี่ยงต่อการทำธุรกิจปัจจุบันที่ กสทช. อาจจะมีการพิจารณาไม่ต่อใบอนุญาต รวมทั้งถูกฟ้องร้องเรียกค่าชดเชย

 

ส่วนบล.โนมูระ พัฒนสิน มีมุมมองต่อ JAS หลังประกาศซื้อหุ้นคืน โดยคงคำแนะนำ Reduce ประเมินราคาเป้าหมายที่ 1.80 บาท (รวมการลงทุนธุรกิจ Mobile broadband) มองว่าราคาหุ้น JAS ในระยะสั้นจะเคลื่อนไหวผันผวน เนื่องจากใกล้ครบกำหนดชำระค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz ซึ่งเราให้น้ำหนัก JAS จะลงทุนในธุรกิจใหม่ ทำให้เราคาดว่าใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 16F-18F) ผลการดำเนินงานปกติจะพลิกเป็นขาดทุนราว 2,281 ล้านบาท ในปี 16F ส่วนปี 17F-18F คาดขาดทุน 730 ล้านบาท และขาดทุน 385 ล้านบาท ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามกรณี JAS ไม่จ่ายเงินค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz เราประเมินราคาเป้าหมายที่ 5.70 บาท (หักเงินประกัน 644 ล้านบาท และไม่รวมการลงทุนธุรกิจใหม่) แต่มองว่า JAS มีความเสี่ยงถูก กสทช. ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นตามกฎหมายหรือประกาศที่กำหนดเพิ่มเติมกรณี กสทช. มีการจัดประมูลคลื่น 900 MHz ใหม่ และชนะประมูลที่ราคาต่ำกว่า 75,654 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาใบอนุญาตที่ JAS ชนะการประมูล

 

อนึ่งวานนี้ JAS แจ้งว่า จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน ประมาณ 1,200-1,426 ล้านหุ้น คิดเป็นประมาณร้อยละ 16.82-20 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป ในราคาประมาณ 5.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาดังกล่าวยังไม่แน่นอน ทั้งนี้ราคาที่แน่นอนจะกำหนดได้ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งถัดไป หลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืน 1) ราคาหุ้นสามัญของบริษัท เฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันก่อนวันประชุมคณะกรรมการบริษัท ในวันที่ 7 มี.ค. 59 เท่ากับ 2.96 บาทต่อหุ้น  2) ราคาที่เสนอซื้อคืนนั้นประมาณ 5.00 บาทต่อหุ้น

โดยอ้างอิงจากราคาเฉลี่ยย้อนหลังระหว่างวันที่ 6 มี.ค. 58  ถึงวันที่ 4 มี.ค. 59 ซึ่งอยู่ที่ 5.01 บาทต่อหุ้น (ก่อนวันประชุมคณะกรรมการบริษัทฯเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการ) ทั้งนี้ คณะกรรมการอนุมัติโครงการซื้อคืนใช้วงเงินประมาณ 6 พันล้านบาท

2) ไม่ค่อยได้เห็นนักที่บริษัทจะใช้ราคารับซื้อหุ้นคืนที่ย้อนหลังไปถึง 1 ปี ในกรณีปกติมักจะใช้ราคาเฉลี่ยย้อนหลัง เช่น 30 วัน ขณะที่การซื้อหุ้นคือแบบทั่วไปอาจไม่ได้กำหนดเกณฑ์ที่แน่ชัดเกี่ยวกับราคาที่รับซื้อคืน แต่หากตลาดฯกำหนดว่าให้บริษัทย้อนหลังได้เพียงเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ราคารับซื้อคืนจะเป็นเพียง 2.96 บาทเท่านั้น

3) ตามเกณฑ์ “คู่มือการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มิ.ย.54 ได้ระบุว่าบริษัทต้องมีคุณสมบัติประการหนึ่งว่า มีกำไรสะสม โดยการซื้อหุ้นคืนจะทำได้ไม่เกินวงเงินสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการ ซึ่งในงวดสิ้นปี 58 ซึ่งเป็นเพียง 2.3 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทจะใช้วงเงินประมาณ 6 พันล้านบาทในการซื้อหุ้นคืน ก็จะไม่เพียงพอ อีกทั้งบริษัทได้ประกาศปันผลล่าสุดที่ 0.30 บาทต่อหุ้นหรือ 2.14 พันล้านบาท XD 25 ก.พ.59 ไปแล้ว แต่ยังไม่กำหนดวันจ่ายปันผล หากหักส่วนนี้ไป กำไรสะสมก็จะยิ่งลดลง เราจึงมีข้อสงสัยว่าบริษัทจะยังสามารถทำการซื้อหุ้นคืนได้อีกหรือไม่

4) มีเกณฑ์อีกหนึ่งข้อคือ การซื้อหุ้นคืนต้องไม่มีลักษณะเป็นการผลักดันราคา หรือทำให้การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดฯ เปลี่ยนแปลงผิดไปจากสภาพปกติของตลาดฯ แต่การที่บริษัทประกาศราคาซื้อหุ้นคืนที่ประมาณ 5 บาทนั้น ทำให้ราคาหุ้นวานนี้มีการเคลื่อนไหวแกว่งตัวอย่างผิดปกติมาก เราจึงยังมีความสงสัยว่าตลาดฯจะมีการตีความว่าเป็นการผลักดันราคาได้หรือไม่ หากได้ก็จะทำให้การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ล้มเลิกไป

 ขณะที่เช้าวันนี้(8 มี.ค.)  JAS ระบุว่า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโครงการซื้อหุ้นคืนบริษัทจะกำหนดประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่อกำหนดราคาซื้อหุ้นคืนประมาณวันที่ 12 เมษายน 2559

โดยบริษัทมีความเพียงพอของแหล่งเงินทุนที่จะรองรับการซื้อหุ้นคืน และจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯตามที่บริษัทฯ ได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าบริษัทฯ มีกำไรสะสม ณ 31 ธันวาคม 2558 จำนวน 2,298 ล้านบาท และในเดือนมีนาคม 2559 บริษัทฯ ได้บันทึกเงินปันผลรับจากบริษัท อคิวเมนท์ จำกัด จำนวน 5,952 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทฯ ที่ถึงกำหนดชาระภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืนจากที่ทราบอยู่แล้วว่าบริษัทฯ ได้เข้าลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน(“JASIF”) ร้อยละ 33.33 และได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาส รวมประมาณร้อยละ 9 ต่อปี และบริษัทฯ ไม่มีภาระที่จะต้องชาระหนี้อื่นใดอีก

Back to top button