WHA พุ่งเกือบ 7% ราคาปัจจุบันน่าสนใจ-ความเสี่ยงทางการเงินกำลังลดลง
WHA พุ่งเกือบ 7% ราคาปัจจุบันน่าสนใจ-ความเสี่ยงทางการเงินกำลังลดลง
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ณ เวลา 11.14 น. อยู่ที่ระดับ 3.12 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 6.85 % ด้วยมูลค่าซื้อขาย 463.02 ล้านบาท ราคาหุ้นวิ่งแรงในรอบ 5 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นเคยขึ้นไปทดสอบระดับ 3.12 บาท เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 58
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯวันนี้ (8 มี.ค.)แนะ”ซื้อ”หุ้น WHA มองว่าทิศทางการดำเนินงานในระยะยาวยังคงเดินไปตามแผนของบริษัท โดยในปีนี้จะเห็นว่าลำดับการขายสินทรัพย์จะเกิดขึ้นจำนวนมากราว 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งกำไรจากการขายเหล่านี้จะช่วยกดให้ P/E ลดลงต่ำเพียง 9 เท่า จากค่าเฉลี่ยในอดีต 20-30 เท่าของบริษัท จึงมองว่าระดับราคาปัจจุบันเป็นจุดน่าสนใจในการเข้าสะสมซื้อลงทุนระยะยาว
ภาระบนงบดุล เริ่มทยอยผ่อนคลายลงต่อเนื่อง ภายหลังจาก WHA นำเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ต่างๆ และการรีไฟแนนซ์ โดยในปี 2558 WHA คืนเงินกู้ไปได้แล้ว 10,936 ล้านบาท (ราว 35% ของยอดหนี้) เร็วกว่าแผนเล็กน้อย ทำให้ปัจจุบันเหลือหนี้จากการเข้าซื้อ HEMRAJ เพียง 20,955 ล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะทยอยคืนให้หมดในปี 2559 จากกระแสเงินสดภายใน 1,000 ลบ., การออก HREIT รวม 8,500 ลบ. ราวไตรมาส 2-3 และ การ IPO ของ Hemraj’s Utilities & Power 13,000 ลบ. ราวไตรมาส 4/59
ซึ่งดีลนี้ได้รับการเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นร่วมในโรงไฟฟ้าหมดแล้ว โดยบริษัทเชื่อว่า net D/E จะลดลงเหลือ 1.33 เท่าได้ภายในไตรมาส 4/59 จาก 2.22 เท่าในปลายปี 2558 ขณะที่การรีไฟแนนซ์หนี้ทั้งจากฝั่ง WHA และ HEMRAJ เดินหน้าต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทคาดว่าอัตราดอกเบี้ยรวมจะลดลงต่ำกว่า 5.00% จาก 5.13% ในปัจจุบันได้
WHA ตั้งเป้ารายได้อย่างอนุรักษ์นิยม 1.7 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการของเรา 10% โดย คาดจะมีพื้นที่เช่าคลังสินค้าใหม่ 2.5 แสนตารางเมตร ใกล้เคียงปีก่อนส่วนใหญ่จากลูกค้าเดิมขยายพื้นที่, ยอดขายที่ดิน 1,000 ไร่ ใกล้เคียงปีก่อน, ยอดการใช้น้ำสาธารณูปโภคขยายตัว 10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมๆกับการปรับปรุงด้านวิศวกรรมเพื่อขยายมาร์จิ้นอีก 10% และ รายได้จากธุรกิจใหม่ๆที่จะเกิดใน 2H59 เช่น Data Center, Solar rooftop ส่วนการขายสินทรัพย์ของ WHA เข้ากองทุน ยังคงเดินต่อเนื่อง โดยปีนี้จะขายราว 161,000 ตารางเมตร จะได้เงินอีกราว 4.2-4.0 พันล้านบาท จากคลังสินค้าที่ ลาดกระบัง และ สมุทรปราการ