พาราสาวะถี อรชุน
ดาวมฤตยูเคลื่อนทับดวงเมือง ตามหลักโหราศาสตร์ก็คาดกันไปต่างๆ นานา แต่ดาวที่จะมาถึงในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้าน่าสนใจกว่า นั่นก็คือ ดาวบนบ่าการแต่งตั้งโยกย้ายช่วงกลางปีของคนมีสี ที่ต้องติดตามคือส่วนของกองทัพทั้งหลายโดยเฉพาะกองทัพบก ที่แว่วกันมาก่อนหน้าบรรดาคนใกล้ชิดบิ๊กคสช.ทั้งหลายได้ขึ้นชั้นกันยกแถว ชัวร์หรือมั่วนิ่มต้องติดตาม
ดาวมฤตยูเคลื่อนทับดวงเมือง ตามหลักโหราศาสตร์ก็คาดกันไปต่างๆ นานา แต่ดาวที่จะมาถึงในอีกไม่ถึงเดือนข้างหน้าน่าสนใจกว่า นั่นก็คือ ดาวบนบ่าการแต่งตั้งโยกย้ายช่วงกลางปีของคนมีสี ที่ต้องติดตามคือส่วนของกองทัพทั้งหลายโดยเฉพาะกองทัพบก ที่แว่วกันมาก่อนหน้าบรรดาคนใกล้ชิดบิ๊กคสช.ทั้งหลายได้ขึ้นชั้นกันยกแถว ชัวร์หรือมั่วนิ่มต้องติดตาม
ด้านหนึ่งก็สาละวนวางตัวคนที่รู้ใจเพื่อค้ำยันอำนาจอันหอมหวนและวิเศษสุดๆ เพราะมีมาตรา 44 คอยชี้เป็นชี้ตาย ล่าสุดไปไกลถึงขั้นสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ยกเว้นกฎหมายเกี่ยวกับการรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอและรายงานผลกระทบด้านสุขภาพหรือเอชไอเอในบางโครงการ โดยอ้างการปฏิรูปเศรษฐกิจ
เลยไม่แน่ใจว่าปฏิรูปกันอีท่าไหนเรื่องจำเป็นที่เป็นมาตรฐานสากลและทุกภาคส่วนก็ยึดถือปฏิบัติกันมาช้านาน วันนี้กลับทำตามใจฉันระวังจะถูกครหายกเว้นกันเช่นนี้เอื้อประโยชน์ให้ใคร ขาใหญ่รายไหนหรือเปล่า เท่ากับว่า ถ้าใช้กฎหมายมาตราพิเศษในลักษณะเช่นนี้ ที่กำลังขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลและกำลังไล่บี้เอาผิดกันอยู่นั้น มีคำถามย้อนกลับ ใครคือผู้มีอิทธิพลใหญ่คับประเทศกันแน่
แต่ที่รู้บัญชีดังว่าน่าจะไม่ใช่รายชื่อใหม่อัพเดท เพราะการปรากฏชื่อ “เสธ.ไอซ์” พลเอกไตรรงค์ อินทรทัต ที่เกษียณอายุราชการไปหลายปีดีดัก กับ “เก่ง”การุณ โหสกุล” อดีตส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจากทุ่งดอนเมือง ถามว่าในยามที่มีอำนาจพิเศษเช่นนี้ คนทั้งคู่ยังจะมีฤทธิ์มีเดชอะไรอีกหรือ สิ่งสำคัญคือทำไปทำมารายชื่อที่ปรากฏกลับเป็นพวกฝ่ายเห็นต่างแทบทั้งสิ้น
ดีที่ว่าผู้พันตึ๋งเพิ่งพ้นโทษออกมาจากคุก มิเช่นนั้น ก็คงจะมีชื่อไปปรากฏในบัญชีดังกล่าวอีกก็เป็นได้ ถูกต้องแล้วที่ พลเอกธีระชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบกจะออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีชื่อของทั้งเสธ.ไอซ์และเจ้าเก่งอยู่ในบัญชี ไม่รู้ไปเอามาจากไหน แต่ใครอย่าได้ไปถาม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะจะได้รับคำตอบแค่ว่าไม่รู้หรืออาจจะบอกว่าเห็นแล้วแต่จำไม่ได้
จะว่าไปแล้ว เรื่องของผู้มีอิทธิพลถ้าปราบกันจริงจังประชาชนจะยกย่อง สรรเสริญแน่ โดยเฉพาะในยามที่ข้าวยากหมากแพง ไม่ควรจะมีใครต้องไปจ่ายค่าคุ้มครองหรือค่าวิ่งเต้นใดๆ แต่ผู้มีอิทธิพลไม่ใช่แค่นักเลงหัวไม้หรือขาใหญ่การเมือง จำนวนไม่น้อยมีตำแหน่งใหญ่โต มีสี นี่ต่างหากที่คนเกรงกันว่าทำไปทำมาจะกลายเป็นลูบหน้าปะจมูกไปเสียฉิบ
เช่นเดียวกับกรณีการจัดระเบียบรถตู้โดยสาร ที่ประกาศกันปาวๆ จะห้ามรถตู้ต่างจังหวัดวิ่งเข้ากรุงเทพฯ คงต้องให้พี่ใหญ่ผู้มากบารมีช่วยชี้แจงให้ชัดๆ ที่จะจัดระเบียบนั้นเนื่องจากมีการร้องเรียนเรื่องใดและเป็นการประพฤติชั่ว ผิดกฎหมายร้ายแรงใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่สมควรจะเอาไว้ต้องรีบจัดการโดยด่วน ส่วนความเดือดร้อนของประชาชนผู้ใช้บริการค่อยมาคิดกันทีหลัง
สิ่งที่หลายคนเป็นห่วง เกรงว่าจะเป็นการเคาะกะลาเสียมากกว่า เหมือนอย่างหลายๆ กรณีที่ประกาศกร้าวจะจัดการเด็ดขาด แต่ทำไปทำมาเป็นเพียงแค่เปลี่ยนผู้รับ จากพวกหนึ่งไปส่งถึงมือพวกใหม่ บางแห่งโชคร้ายที่เคยจ่ายเท่านี้กับต้องควักกระเป๋าหนักกว่าเดิม บางที่ผู้มีอิทธิพลใจดีหน่อยก็ได้รับส่วนลด แต่ประเภทที่บอกว่าของฟรีเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนนั้นไม่มีแน่นอน
อย่างที่บอกมาตลอดประเภทเนติบริกรเรื่องชั้นเชิงการสับขาหลอกนั้นจะแนบเนียนและแยบยลเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นๆ วันก่อน วิษณุ เครืองาม ให้สัมภาษณ์นักข่าวถึงผลการประชุมแม่น้ำ 4 สาย ยืนยันไม่มีการหยิบยกประเด็นเรื่องส.ว.สรรหามาพูดคุยแต่อย่างใด แต่คล้อยหลังจากนั้น 1 วัน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานในที่ประชุมพูดเองชัดถ้อยชัดคำ มีการพูดคุยในประเด็นส.ว.สรรหาแต่ยังไม่ได้ลงในรายละเอียด
ดีนะที่ว่ารองนายกฯฝ่ายกฎหมายไม่ได้ดูแลสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มิเช่นนั้น จะเข้าข่ายผิดศีลห้าข้อมุสา แต่จะว่าไปแล้วคนที่จับได้ไล่ทัน ย่อมอ่านเกมกันขาดไปก่อนหน้าแล้วว่า อย่าไปหวังคำตอบอะไรที่ชัดถ้อยชัดคำจากคนเหล่านี้ เพราะจะมีมุมในข้อกฎหมายมาพลิกแพลงชี้แจงให้คนสัมภาษณ์ออกอาการงุนงง ต้องใช้เวลาตีความกันหลายวันกว่าจะถึงบางอ้อ
พอเป็นเช่นนี้ก็ย้อนกลับไปยังสิ่งที่พูดถึง มีชัย ฤชุพันธุ์ วันก่อนที่อ้างเรื่องไม่อยากถูกผูกมัดหากเข้าร่วมการประชุมแม่น้ำ 5 สาย เพราะในข้อเท็จจริงก็คือสถานะของความเป็นสมาชิกคสช.มันค้ำคออยู่ หากไม่อยากผูกมัดจริงต้องลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว แล้วมาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว อย่างนี้คนยังจะเชื่อน้ำคำมากกว่า
แต่ก็อีกนั่นแหละ ได้ชื่อว่าสังคมของคนดีไม่ว่าจะสวมหมวกกี่ใบ ทับซ้อนกันหรือไม่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมคงไม่ระคายผิว เหมือนกับแสดงความรังเกียจรังงอนสภาผัวเมียจนต้องหาวิธีการที่ไม่ให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง แต่ธาตุแท้ของคนยามมีอำนาจมันพิสูจน์ได้ชัดแล้วคราวที่สมาชิกสนช.และสปช.พากันแต่งตั้งลูกเมียมาเป็นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวกันหน้าสลอน
ซึ่งตรงนั้นความจริงแล้วต้องถามหาจริยธรรมอันสูงส่งกันอย่างต่อเนื่องและทุกคนจะต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกไปแล้ว แต่ปรากฏว่ายังคงเกาะเก้าอี้แน่น มิหนำซ้ำ ยังหน้าหนามาเรียกร้องโน่นนี่นั่น โดยเฉพาะล่าสุดกับการให้ส.ว.มาจากการลากตั้งทั้งหมด พฤติกรรมปากว่าตาขยิบของพวกถูกหวยรัฐประหารนี่เองที่ทำให้ท่านผู้นำเสียรังวัดไม่ใช่น้อย
ไม่ต่างจากการประกาศเอาจริงเอาจังกับการทุจริต คอร์รัปชั่น แต่กลับปรากฏปัญหาทั้งเรื่องไมค์ทองคำจนมาถึงอุทยานราชภักดิ์และการขุดลอกคลองขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ที่น่าเจ็บปวดที่สุดคงเป็นกรณีราชภักดิ์ที่เกิดวาทกรรมว่ามีการเรียกค่าหัวคิวแต่สั่งให้นำไปบริจาคทั้งหมดแล้ว ถือว่าไม่เป็นความผิด ตรรกะวิบัติเช่นนี้นี่ไงที่มันมีผลต่อความเชื่อถือของท่านผู้นำ
คำถามที่เกิดขึ้นอีกประการถ้าเทียบเคียงกรณีเงินทุจริตเรียกค่าหัวคิวโรงหล่อ ถ้านำเงินไปบริจาคแล้วไม่เป็นความผิด แล้วที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์รับบริจาครถเบนซ์หรูมาแล้วสั่งให้ลูกศิษย์นำไปคืนก็คงไม่ผิดเช่นเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้นบิ๊กตู่ก็สมควรจะตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ได้แล้ว เมื่อยึดตรรกะมักง่ายกันแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปตีความข้อกฎหมายใดๆ อีกต่อไป