ผู้ร้าย(ตัวปลอม) แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

วันที่ 7 มีนาคม 2558 นายกสมาคมฟุตบอลฯคนล่าสุด บิ๊กอ๊อด พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จัดประชุมกรรมการสมาคมในฐานที่มั่นสำคัญ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก ห้วงขวาง และมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ยกเลิกสัญญาการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของสมาคมฟุตบอลฯ อายุ 5 ปี (2556-2560) กับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ SPORT นำโดยพี่ใหญ่ หัวขบวนของทีมงาน นายระวิ โหลทอง ที่คร่ำหวอดวงการกีฬา


ผู้ร้าย(ตัวปลอม)

 

วันที่ 7 มีนาคม 2558 นายกสมาคมฟุตบอลฯคนล่าสุด บิ๊กอ๊อด พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จัดประชุมกรรมการสมาคมในฐานที่มั่นสำคัญ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก ห้วงขวาง และมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ยกเลิกสัญญาการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของสมาคมฟุตบอลฯ อายุ 5 ปี (2556-2560) กับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ SPORT นำโดยพี่ใหญ่ หัวขบวนของทีมงาน นายระวิ โหลทอง ที่คร่ำหวอดวงการกีฬา

มติดังกล่าวระบุว่า “…ไม่ประสงค์ให้บริษัท เป็นผู้ดำเนินการถ่ายทอดสดการบันทึกการแข่งขันและภาพไฮไลต์การแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ฟุตบอลดิวิชั่น 1 ลีกภูมิภาค เอฟเอ คัพ ลีก คัพ รวมทั้งการแข่งขันภายในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประจำปี 2556-2560 ในฐานะตัวแทนสมาคมฯ อีกต่อไป..”

ก่อนยกเลิกสัญญา ภาพลักษณ์ “ผู้ร้าย” ของค่าย SPORT ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเป็นระบบ ในฐานะ “ปลิงดูดเลือด” นานไม่น้อยกว่า 2 ปี ว่า หาผลประโยชน์เกินสมควร โดยจุดเริ่มข้อกล่าวหา มาจากที่รายงานประจำปีงวดบัญชีสิ้นปี 2557 ของ SPORT ที่ระบุในคำชี้แจงที่ประกอบงบการเงินว่า บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการบริหารสิทธิประโยชน์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกเพิ่มขึ้น เป็น 490 ล้านบาท..ทำเอาตาลุกกันเป็นแถบ

ตัวเลขที่ชี้แจงตามหลักการบัญชีที่โปร่งใสของบริษัทจดทะเบียนของ SPORT กลายเป็น “จุดตาย” ที่ถูกนำไปขยายความในลักษณะบัญญัติไตรยางค์ง่ายๆ เพื่อสาดโคลนกันในสมาคมฟุตบอลฯในเวลาต่อมา ในลักษณะ “ขยี้แผลแตก” โดยพุ่งเป้าที่นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯคนก่อนหน้า ที่ปัจจุบันพ้นตำแหน่งแล้ว

ตัวเลขดังกล่าวถูกนำไปเทียบกับรายได้ของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก และสมาคมฟุตบอลฯในเวลาเดียวกันและไล่เลี่ยกัน ต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะ ในงบการเงินงวดสิ้นปี 2557 ไทยพรีเมียร์ลีก มีรายได้ 16.7 ล้านบาท มีกำไร 1.8 ล้านบาท มากกว่าปี 2556 เล็กน้อย ที่มีรายได้ 11.6 ล้านบาท  มีกำไร 2.7 ล้านบาท

ในขณะที่สมาคมฟุตบอล ปี 2556 มีรายได้ 223 ล้านบาท  และปี 2555 มีรายได้ 131 ล้านบาท  ในขณะที่ปี 2557…ยังไม่ส่งงบดุล

ตัวเลขดังกล่าว หากนำไปเทียบกับรายได้และกำไรของสโมสรฟุตบอลต่างๆ ที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายล้วนยืนยันตรงกันโดยไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขว่า งบดุลของสโมสร มีตัวเลขขาดทุนมากกว่ากำไร บางรายเช่นสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจ หรือ ทีโอที หรือ การท่าเรือเอฟซี  หรือ สระบุรี ฯลฯ ที่ฐานะย่ำแย่จนต้องกระเสือกระสนหาผู้อุปถัมภ์ยากลำบาก  เสมือน “สวรรค์ กับ นรก”  เลยทีเดียว

เงินทองไม่เข้าใครออกใคร ดังนั้น ข้อเรียกร้องว่า เงินที่ SPORT ได้รับจากการบริหารสิทธิประโยชน์นั้น ไม่เป็นธรรม และมาจากการฉ้อฉลภายในสมาคมฟุตบอลยุคนายวรวีร์ มะกูดี เป็นสำคัญ

จุดนี้เองที่ พล.ต.อ.สมยศ และทีมงานหาเสียงเพื่อสมัครเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ เอามาเรียกร้องความสนใจ โดยถือเป็น 1 ใน 5 Fair ที่จะลงมือกระทำ คือ “..จะเข้ามาเพื่อคืนสิทธิ สิทธิประโยชน์ และความเป็นธรรมที่สโมสรสมาชิกพึงได้รับ กลับคืนให้สโมสรสมาชิก…สโมสรสมาชิกต้องได้รับสิทธิประโยชน์เต็มๆ  ไม่ใช่รับเศษเนื้อข้างเขียงอีกต่อไป…”  โดยระบุว่า การตัดสมาชิกสมาคม (สโมสรต่างต่างๆ) ออกจากการเป็นเจ้าของสิทธิ ละเมิดข้อบังคับที่ฟีฟ่าระบุไว้ว่า “สิทธิเป็นของสมาคมและสมาชิก” แต่ไปแก้ไขให้ “สิทธิเป็นของสมาคม” จากนั้นก็ ยกสิทธิของสมาคมไปให้บริษัทหนึ่งบริหารจัดการผูกขาดหาประโยชน์ได้เท่าไรไม่รับรู้ รอส่วนแบ่งที่เหลือตามที่บริษัทแจ้งเท่านั้น

นั่นหมายถึงพล.ต.อ.สมยศ มีธงตั้งแต่แรกแล้วว่า หากได้เป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯวันไหน การยกเลิกสัญญากับ SPORT ต้องเกิดขึ้น…ซึ่งก็เป็นจริงในที่สุด

เสียงเชียร์จากกองเชียร์ของ พล.ต.อ.สมยศ มากเพียงพอที่จะทำให้ SPORT กลายเป็นผู้ร้ายซ้ำซาก สะใจบรรดากองแช่งทั้งหลายที่รอซ้ำเติมเมื่อพลั้งพลาด ผลลัพธ์คือ เหตุผลที่ผู้บริหารค่าย SPORT ที่ยกความหลังครั้งอดีตที่สมาคมฟุตบอลชุดเดิมๆ ได้เข้ามาขอร้องให้เข้าไปช่วยเหลือ ในช่วงที่ฟุตบอลเมืองไทยอยู่ในช่วงล้มลุกคลุกคลาน กลายเป็นแค่ “ข้อแก้ตัวที่พ้นยุค” แถมยังมีการขยายความด้วยตรรกะง่ายๆว่า “…สิทธิของสมาคมทั้งหมดที่บริษัทนี้บริหาร หากรวม ทีมชาติไทยทุกชุด ฟุตซอล ฟุตบอลหญิง และฟุตบอลทุกรายการที่จัดแข่งขันภายใต้สมาคมฯ จะมีมูลค่ารวมเท่าไร ?…”

เหตุผลก็เพราะ “ความเป็นธรรม” ที่เอามาใช้คือ การแบ่งปันผลประโยชน์ (ที่คาดว่าจะมหาศาล)มาให้สโมสรสมาชิกเพื่อยกระดับฐานะการเงินของสโมสรที่กำลังเข้าตาจน ให้ลืมตาอ้าปากได้…ลืมไปสนิทว่า นี้คือไทย พรีเมียร์ลีก..หาใช่ อิงเลิช พรีเมียร์ลีก ไม่..

แล้วความจริงก็ถูกเปิดออกมาเพราะ SPORT ในฐานะบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ  ต้องชี้แจงผลกระทบจากการยกเลิกสัญญาฯให้สาธารณะ ของนายอดิศัย วารินทร์ศิริ ประธานกรรมการของ SPORT ระบุไว้ 2 ส่วน ส่วนแรกคือผลกระทบ ส่วนหลังคือ ทางแก้ไข

ผลกระทบมี 3 ข้อ ประกอบด้วย

-ด้านรายได้ คาดจะลดลงประมาณ 44% ของรายได้รวม

-ด้านต้นทุน คาดว่าลดลงประมาณ 42% ของรายได้รวม

-ด้านกำไรสุทธิ คาดว่าจะมีลดลงประมาณ  2% ของรายได้รวม

ข้อเท็จจริงที่เปิดออกมา ตอกย้ำว่า รายได้จากสัญญาบริหารสิทธิประโยชน์นั้น เอาเข้าจริง ขาดทุน หรือ กำไรางมาก.. รายได้มากจริง แต่ต้นทุนก็มากด้วย ..ถ้าเป็นปลิง ก็คงผอมจนเหี่ยวย่นดูไม่ได้

ยิ่งลงลึกไปที่งบการเงินล่าสุดของ SPORT จะยิ่งชัดเจนว่า ในปี 2557 และ 2558 จะพบว่า มีตัวเลขขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานที่ 133.80 ล้านบาท และ 34.70 ล้านบาท ตามลำดับ..ไม่ได้อู้ฟู่อะไร

การยกเลิกSPORT คือ เปิดทางให้บริษัทบริหารสิทธิประโยชน์ใหม่ (ไม่ว่าจะเป็นเส้นใคร) เข้าทำแทน โดยมีรายได้ 490 บาทของปี 2557 ที่ SPORT ทำไว้ เป็นเหล็กหมุดชี้นำ..ถ้าทำได้มากกว่า คำถามใหม่จะตามมาว่า แล้วจะแบ่งให้สโมสรสมาชิกต่างๆ คนละเท่าใดถึงจะ “ยุติธรรม”

ข้อเท็จจริงอย่างนี้ แม้ SPORT จะบอกว่ามีทางแก้ไขเพื่อปลอบขวัญผู้ถือหุ้น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นแล้ว เพราะอย่างน้อยที่สุด ข้อเท็จจริงก็ตอกย้ำชัด (หากคนรับข้อมูลมีใจเป็นกลาง) ว่า SPORT ไม่ใช่…และไม่ขอแสดงบท ผู้ร้าย

แม้คงไม่ได้เป็นพระเอก เนื่องจากงานนี้ บิ๊กอ๊อด กำลังเล่นบทนี้อยู่ (ชั่วคราว) น่ะสิ…อิ อิ อิ

Back to top button