พาราสาวะถี อรชุน
ข้อเสนอของคสช.ต่อกรธ.นี่กระมังที่เป็น “ร่างรัฐธรรมนูญที่โหดกว่า” ตามวาจาที่เปล่งออกมาจากปากของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ช่วงก่อนที่จะได้เห็นร่างแรกของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต่อการตอบคำถามว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปถ้าร่างแล้วไม่ผ่านการทำประชามติของประชาชน เอาแค่บทบาทของส.ว.ที่กลายเป็นผู้มีอิทธิพลสูงประการเดียว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง
ข้อเสนอของคสช.ต่อกรธ.นี่กระมังที่เป็น “ร่างรัฐธรรมนูญที่โหดกว่า” ตามวาจาที่เปล่งออกมาจากปากของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ช่วงก่อนที่จะได้เห็นร่างแรกของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต่อการตอบคำถามว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปถ้าร่างแล้วไม่ผ่านการทำประชามติของประชาชน เอาแค่บทบาทของส.ว.ที่กลายเป็นผู้มีอิทธิพลสูงประการเดียว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง
เรื่องการติดใจของฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะพวกที่เคยหนุนคณะรัฐประหารมาตั้งแต่ต้นนั้น หากหยิบยกมาเป็นประเด็นก็ถูกตีโต้กลับว่ามีอคติเพราะมีส่วนได้เสีย ดังนั้น ความเห็นที่น่าจะเป็นกลางและยอมรับได้กันทุกฝ่ายในเวลานี้จึงหนีไม่พ้นทางซีกส่วนของนักวิชาการ ที่ล่าสุด สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุถึงข้อวิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญที่ได้นำเสนอบนเวที “Thailand’s Draft Constitution and Referendum: Principles, Stakes, Directions” จัดโดย ISIS Thailand
อาจารย์สิริพรรณได้วิเคราะห์ 7 ข้ออันตรายของร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยไว้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องการให้พรรคเสนอชื่อใครก็ได้ 3 คน ที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการเลือกตั้งขัดแย้งกับหลักการอำนาจประชาธิปไตยเป็นของปวงชน ข้อนี้คงเลิกกังวลได้แล้ว เพราะคสช.เขาเสนอให้ยกเลิก แต่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีมันก็หนีไม่พ้นการเปิดช่องให้มีนายกฯคนนอกอยู่ดี
ระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม จะนำไปสู่การแข่งขันเลือกตั้งที่เน้นตัวบุคคลมากกว่านโยบายพรรค การซื้อเสียงจะสูงขึ้น เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นจะกลับมา พรรคเล็กไม่สามารถแข่งขันได้ แรงจูงใจในการสร้างสถาบันพรรคการเมืองจะลดลง ประชาชนจะขาดความรู้สึกมีประสิทธิภาพทางการเมืองเพราะไม่ได้เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี และเกิดความสับสนระหว่างความชอบผู้สมัคร vs พรรค และผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
ข้อนี้ก็เช่นเดียวกันคสช.ได้ชงให้มีการปรับแก้ แต่ดูท่าจะแย่กว่าเดิม เพราะดันเป็นระบบแบบเขตใหญ่เรียงเบอร์แต่ให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกส.ส.ได้แค่ 1 คนจากที่ในเขตนั้นๆสามารถมีส.ส.ได้ 2-3 คน ข้อกังวลอื่นๆหลังจากนี้ต่างหากที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการให้อำนาจองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบรัฐสภาและรัฐบาลฝ่ายเดียว ขัดแย้งกับหลักตรวจสอบ ถ่วงดุล ทำให้ศักดิ์ศรี สิทธิและการมีส่วนร่วมของประชาชนลดลง
การทำประชามติต้องคำนึงถึงมาตรฐานและหลักการสากล ต้องให้รณรงค์ได้ทั้งฝ่ายรับและฝ่ายไม่รับ อย่าให้เหมือนการรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 และการไม่แจกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับให้ประชาชน แจกเฉพาะบทสรุป จะมั่นใจได้อย่างไรว่าสรุปได้ตรงความหมายโดยปราศจากอคติ ซึ่งเรื่องนี้ต้องขีดเส้นใต้ กับคำว่าอคติ ซึ่งมีให้เห็นมาโดยตลอด
ข้อเสนอของคสช.ในบทเฉพาะกาล 5 ปี ให้เพิ่มจำนวนส.ว.จาก 200 เป็น 250 เท่ากับครึ่งหนึ่งของส.ส. เปลี่ยนจากการเลือกกันเองระหว่างกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม มาเป็นการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหาและให้สำรองที่นั่ง 6 ที่ไว้สำหรับปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 4 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น ชัดเจนว่าเป็นความพยายามให้วุฒิสภาทำหน้าที่เป็นกลไกคัดง้างสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
นอกเหนือไปจากการติดตั้งกลไกคัดง้างเสียงข้างมากไว้ที่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญแล้ว วุฒิสภาตามข้อเสนอของคสช.จะมีอำนาจใกล้เคียงหรือเทียบเท่าสภาผู้แทนราษฎรเลยทีเดียว กล่าวคือ สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ ควบคุมการบริหารของรัฐบาลได้ด้วย ที่ยังไม่ชัดเจนคือมีอำนาจยับยั้งร่างกฎหมายจนถึงที่สุดหรือไม่
ดูเหมือนแนวคิดนี้ จะคล้ายกับบทเฉพาะกาล 4 ปีของรัฐธรรมนูญ 2521 ขาดก็แต่ข้อเสนอของคสช. ยังไม่ไปไกลขนาดให้อำนาจวุฒิสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรได้เท่านั้น ขณะที่ข้อเสนอให้การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี 3 คนของพรรคการเมืองเป็นความลับ ไม่เปิดเผยระหว่างการเลือกตั้ง ผลในประการนี้ก็จะกลับไปคล้ายอดีตกาลของประเทศไทย ที่สภาเป็นผู้โหวตด้วยเสียงข้างมากเลือก“ใครก็ได้”เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการเปิดพื้นที่ต่อรองแลกเปลี่ยนระหว่างชนชั้นนำด้วยกันเอง
ก่อนที่อาจารย์สิริพรรณจะบอกต่อว่า สิ่งที่ได้ทราบในวันนี้คือ มาตรา 207 ที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญอย่างล้นเหลือ ถูกปรับให้กลับไปคล้ายมาตรา 7 เดิม แต่จะมีข้อความที่ชัดเจนขึ้นคือ จะระบุว่าในภาวะวิกฤติ องค์กรใดบ้างที่จะมาทำหน้าที่แก้ปัญหาร่วมกัน ต้องรอดูเนื้อความจริงในวันที่ 29 มีนาคมนี้ว่า องค์กรแก้วิกฤติจะคล้ายกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติหรือคปป. ในร่างชุดบวรศักดิ์หรือไม่
เรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกใส่กลับเข้าไปในมาตรา 4 แต่ดูเหมือนกรธ.ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า วิธีเขียนเรื่องสิทธิในร่างฉบับนี้ ได้ลดทอนสิทธิที่ประชาชนพึงมี เคยมี และถูกรับรองในรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ก่อนหน้านี้อย่างไรดังที่มีชัยเคยเปรียบเทียบไว้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญได้ให้ฮีทเตอร์ แล้วทำไมประชาชนยังต้องการผ้าห่มอีก
จึงตอบประเด็นนี้ไปว่า เหตุผลที่ประชาชนยังต้องการผ้าห่ม แม้กรรมการร่างจะเสนอฮีทเตอร์ให้ เพราะประชาชนเป็นคนควบคุมผ้าห่มเองได้ ส่วนฮีทเตอร์นั้นถูกเปิดและปิดโดยรัฐ ประชาชนไม่มีส่วนร่วม ขณะที่การทำประชามติจะใช้เกณฑ์ “เสียงที่มากกว่า” เช่น หากโหวตรับมีจำนวนมากกว่าโหวตไม่รับ ถือว่าร่างรัฐธรรมนูญผ่าน โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนผู้มาใช้สิทธิ
แม้ว่าขณะนี้กรธ.ยังไม่ยืนยันว่าจะรับข้อเสนอของคสช.ทั้งหมด แต่เชื่อได้ว่า ณ เวลานี้ ใครจะกล้าปฏิเสธคำขอจาก The Power That Be หรือ ท่านผู้มีอำนาจ นี่แหละที่เป็นคำตอบสุดท้าย แต่ถ้าจะมีเซอร์ไพร์สก็น่าจะเป็นเหมือนการให้สัมภาษณ์ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อวันวานที่บอกว่า “ผมเชื่อว่าทางกรธ.จะไม่ถอดใจหรอก เพราะถ้าพวกเขาจะถอดใจออกไป ก็ตายสิ” ตรงนี้ไม่รู้เป็นสัญญาณอะไรบางอย่างหรือเปล่า