พาราสาวะถี อรชุน
จูบปากกันเป็นที่เรียบร้อย พลเอกอุดมเดช สีตบุตร แถลงข่าวไล่หลัง พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ที่นำทีมทั้งสตง.และป.ป.ท.ตั้งโต๊ะชี้แจงความโปร่งใสไร้ราคีของการก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ในนามศอตช. หลังจากที่ก่อนหน้านั้นบิ๊กโด่งซัดบิ๊กต๊อกหลายกระทอก บอกชี้นำทำคนเข้าใจผิดคิดว่าโครงการยิ่งใหญ่ของคนไทยมีรอยด่าง จนทำให้มองหน้ากันไปติดไประยะหนึ่ง
จูบปากกันเป็นที่เรียบร้อย พลเอกอุดมเดช สีตบุตร แถลงข่าวไล่หลัง พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ที่นำทีมทั้งสตง.และป.ป.ท.ตั้งโต๊ะชี้แจงความโปร่งใสไร้ราคีของการก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ในนามศอตช. หลังจากที่ก่อนหน้านั้นบิ๊กโด่งซัดบิ๊กต๊อกหลายกระทอก บอกชี้นำทำคนเข้าใจผิดคิดว่าโครงการยิ่งใหญ่ของคนไทยมีรอยด่าง จนทำให้มองหน้ากันไปติดไประยะหนึ่ง
หลังจากบิ๊กต๊อกนำทีมชี้แจงว่าไร้ค่าหัวคิวและกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส โดย พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหรือสตง.ถึงกับเอาชิ้นส่วนโลหะสำริดที่หล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์มาแถลงข่าวถึงคุณภาพงานคับแก้ว แล้วเช่นนี้จะทำให้คนยังคลางแคลงใจได้อีกอย่างนั้นหรือ เมื่อเป็นเช่นนั้น บิ๊กโด่งจึงแถลงตอกย้ำอีกรอบเมื่อวันวานทุกอย่างเคลียร์พร้อมขอบคุณพลเอกไพบูลย์เป็นการใหญ่
อย่างไรก็ตาม ยังเหลืออีกหนึ่งไม้ที่จะตรวจสอบนั่นก็คือ ป.ป.ช. แต่คงพอจะเดาผลลัพธ์ที่จะออกมาได้ว่าเป็นอย่างไร ไม่ได้ดูผิดเพราะกระบวนการพิจารณาหลายเรื่องที่ผ่านมาประชาชีคาดเดาผลได้ล่วงหน้าเรียกได้ว่าดูถูกแบบตรงเผงกันเลยดีทีเดียว แต่ก็ยังมีคนที่ยังเคลือบแคลงต่อผลสอบที่ออกมาอยู่โดยเฉพาะปมค่าหัวคิวที่มีตัวละครสำคัญคือเซียนพระ อ.
โดยคนแรกคือ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.ที่ไปร่วมรับฟังและซักถามในการแถลงข่าวของบิ๊กต๊อกด้วย แต่เจ้าตัวก็ยืนยันไม่ได้ต้องการที่จะไล่ล่าเอาผิดใครเพียงแต่อยากให้โครงการที่ยิ่งใหญ่ปราศจากมลทินมัวหมอง ซึ่งก็คาดหวังว่าหลังจากนี้ไป ป.ป.ช.จะดำเนินการทุกอย่างให้กระจ่างใสหมดจด แต่สำหรับ วีระ สมความคิด กลับมองไปอีกมุม
เลขาธิการเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นระบุว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว บิ๊กโด่งแถลงต่อนักข่าวยืนยันว่ามีการเรียกเงินค่าหัวคิวจากเจ้าของโรงหล่อ ซึ่งตนได้จัดการให้มีการคืนเงินไปแล้ว ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า ถ้าไม่เป็นความผิดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ทำไมเซียนพระ อ. หรือเซียนอุ๊ที่วีระเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามชัดเจนต้องเอาเงินไปคืนให้เจ้าของโรงหล่อ
ไม่เพียงเท่านั้น หลังเกิดเหตุเซียนอุ๊ยังหลบหนีไปต่างประเทศ หากไม่มีความผิดคงไม่ต้องหลบหนี และเหตุใดเจ้าของโรงหล่อ 5 แห่ง ต้องเอาเงินส่วนนั้นบริจาคให้มูลนิธิโครงการอุทยานราชภักดิ์ด้วย มูลเหตุสำคัญของเรื่องนี้เกิดจากพนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยต่อสาธารณะว่า พบหลักฐานที่น่าเชื่อว่ามีนายทหารสองรายเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์
นายทหารทั้งสองนายดังว่าก็คือ พลตรีสุชาติ พรมใหม่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และ พันเอกคชาชาต บุญดี อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการ กองทัพภาคที่ 3 แต่การแถลงของศอตช. กลับสรุปว่าการเรียกเงินค่าหัวคิว ไม่เป็นความผิดไม่ใช่การทุจริต เป็นเพียงเรื่องของเอกชนไปเรียกเงินค่าช่วยแนะนำงานให้ นอกจากนั้นผู้ว่าสตง.ยังให้ข้อมูลสนับสนุนว่าการเรียกค่าหัวคิวสามารถทำได้
เป็นการจ่ายค่าที่ปรึกษาเพื่อช่วยให้การทำงานราบรื่นไม่มีอุปสรรค ก่อนที่บิ๊กโด่งจะให้สัมภาษณ์ว่าโครงการอุทยานราชภักดิ์ไม่มีการเรียกเงินค่าหัวคิว ที่ผ่านมาไม่มีเจตนาพูดว่ามีการเรียกค่าหัวคิว เป็นความผิดพลาดเล็กน้อยที่เข้าใจเช่นนั้น การพูดเช่นนี้ส่งผลทำให้นโยบายการปราบปรามคอร์รัปชั่นของรัฐบาล คสช.หมดความชอบธรรมและไม่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือทันที
อย่างที่เคยบอกไว้ตั้งแต่ต้น ขนาดโครงการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลที่เป็นผลงานชิ้นโบว์ดำงานแรกคือไมโครโฟนทองคำ ทั้งๆ ที่เห็นว่าเป็นการซื้อแพงกว่าปกติ ยังมีบทสรุปว่าไม่ใช่การทุจริตแต่เป็นเพราะมีส่วนต่างมากเกินไป จึงสั่งให้จัดซื้อจัดจ้างใหม่แล้วทุกอย่างก็จบกันไป นี่แหละคือมาตรฐานในการตรวจสอบการทุจริตในยุคที่ประกาศทำสงครามกับการคอร์รัปชั่น
ไม่เพียงเท่านั้น ต่อกรณีขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกหรืออผศ.ที่ไปรับงานขุดลอกคลอง ซึ่งสืบสาวราวเรื่องทั้งๆ ที่มีสัญญาชัดเจนว่าให้ทำเองห้ามจ้างเหมาช่วงต่อ แต่ก็ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำผิดเงื่อนไขและบางแห่งผู้รับเหมาช่วงก็ทิ้งงานกันไปเรียบร้อย ดูกันว่าจะมีบทสรุปออกมาแบบไหน ที่คนทำใจไม่เชื่อกันไว้ล่วงหน้าแล้วก็คือ ผู้อำนวยการอผศ.ที่ถูกตั้งข้อกังขาว่าอยู่ในข่ายไม่โปร่งใส ตั้งให้รองผอ.อผศ.มาสอบตัวเอง เช่นนี้แล้วความน่าเชื่อถือมันจะเกิดได้อย่างไร
การประกาศปาวๆ ว่าถ้าใครมีหลักฐานขอให้ส่งมาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคนถามย้อนกลับไปว่า แล้วที่ไปกองพะเนินเทินทึกอยู่ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของทำเนียบฯนั้น ได้เห็นเอกสารเรื่องร้องเรียนกันบ้างหรือไม่ ทำอะไร ตรวจสอบไปแค่ไหน ช่วยป่าวประกาศให้สาธารณชนรับทราบด้วย ไม่ใช่เอาแต่แยกเขี้ยวขู่ตะคอกเพียงอย่างเดียว
ไม่รู้ว่าเป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือเปล่า กับท่าทีล่าสุดของ พระเมธีธรรมาจารย์หรือเจ้าคุณประสารเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่ได้โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวในหัวข้อกิจนิมนต์ที่จะต้องมีระยะเวลาและเงื่อนไขอื่นเป็นตัวกำหนดว่า กว่าสองสัปดาห์ที่รับนิมนต์พิเศษของท่านผู้นำประเทศในเรื่องการยุติการเคลื่อนไหวใดๆ เพื่อให้เกิดความสบายใจและความสงบเรียบร้อยของทุกฝ่าย
โดยท่านผู้นำย้ำว่า ถ้าทุกคนทุกฝ่ายยุติการเคลื่อนไหวใดๆ กระบวนการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชซึ่งอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของรัฐบาลก็จะเดินหน้าไปได้อย่างไม่มีปัญหาติดขัดใดๆ สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ ต่างกรรมต่างวาระของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าถ้าเรื่องไม่สงบ ก็จะยังไม่ดำเนินการ โดยวันนี้ชัดเจนว่า กิจนิมนต์พิเศษซึ่งเป็นความปรารถนาอันดีงามของบิ๊กตู่นั้น มีเพียงเจ้าคุณประสาร ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯและภาคีเครือข่ายเท่านั้นที่รับนิมนต์อยู่ฝ่ายเดียว
ขณะที่อีกฝ่าย (คงไม่ต้องบอกรู้ว่าเป็นใคร พวกไหน) ไม่ยินดียินร้ายใดๆ ต่อคำอาราธนาของบิ๊กตู่ ที่หนักไปกว่านั้นรัฐบาลโดยรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลของหัวหน้าคสช. กลับไม่ใส่ใจในการนำเอาแนวทางของท่านผู้นำไปปฏิบัติ ทำงานสวนนโยบายของผู้นำแบบไม่เกรงใจ ด้วยการสาดน้ำมันถังใหญ่เข้าไปในกองเพลิงก็ยิ่งเพิ่มความร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯพร้อมภาคีเครือข่าย จึงต้องเรียกประชุมโดยด่วน เพื่อกำหนดท่าทีและแนวทางปฏิบัติต่อไป เพราะการรับกิจนิมนต์พิเศษอยู่ฝ่ายเดียวไม่ต่างอะไรกับการถูกมัดมือมัดเท้าและโดนชกโดยไม่ทราบชะตากรรม นอกจากนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าระยะเวลานี้จะยาวนานมากน้อยแค่ไหนอย่างไร น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่พระและฆราวาสกลุ่มนี้คิดและขยับจะทำได้และสร้างแรงกระเพื่อมเหมือนคราวชุมนุมที่พุทธมณฑลหรือไม่ ในขณะที่อีกด้านอาจถูกอำนาจพิเศษกดดันจนกระดิกกันไม่ได้เหมือนที่เป็นอยู่