ARROW คาดกำไรปีนี้นิวไฮ-รายได้ไม่ต่ำกว่า 1.4 พันลบ.

ARROW คาดกำไรปีนี้นิวไฮ รายได้ไม่ต่ำกว่า 1.4 พันลบ. เน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง-ลงทุนสร้างโรงงานใหม่รองรับงานภาครัฐ


นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เปิดเผยว่า บริษัทคาดกำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 245.66 ล้านบาท โดยจะเน้นสินค้าเฉพาะทางที่มีมาร์จิ้นสูงเป็นหลัก เพื่อรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ให้ต่ำกว่า 15%

ขณะเดียวกันยังมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 1.4 พันล้านบาทแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) สูงถึง 250 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดที่เคยตั้งบริษัทฯมา หลังจากปีนี้บริษัทฯมีการปรับลดราคาเพื่อที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ท่อร้อยสายไฟภายในประเทศแตะ 65% จากปัจจุบันอยู่ที่ 55% ซึ่งยังเน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นหลัก

นอกจากนี้ล่าสุดการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะมีโครงการเปลี่ยนระบบจำหน่ายไฟฟ้าจากระบบสายอากาศเป็นระบบสายใต้ดิน เพิ่มเติม โดยคาดว่าจะเริ่มประมูลเฟสที่ 1 ได้ในช่วงไตรมาส 2/59 ระยะทาง 10 กิโลเมตร มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

ขณะที่หลังจากนี้ยังจะมีเฟสอื่นๆออกมาอีก โดยทั้งโครงการมีระยะทางเกือบ 200 กิโลเมตร ซึ่งบริษัทฯค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้งานในส่วนนี้เนื่องจากปัจจุบันมีผู้เล่นเพียงแค่ 2 รายที่ผ่าน มอก. โดยท่อร้อยสายไฟใต้ดินถือเป็นสินค้ามาร์จิ้นสูงประเภทหนึ่ง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่าสินค้าปกติประมาณ 5-10%

ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ตั้งงบลงทุนไว้อีกราว 30-40 ล้านบาทเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานใหม่ เนื่องจากปัจจุบันกำลังการผลิตของท่อร้อยสายไฟใต้ดิน เพียงพอสำหรับการผลิตให้เฟสแรกเท่านั้น บริษัทฯจึงต้องมีการลงทุนเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของโครงการต่างๆที่จะออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ในช่วงที่ผ่านมาตลาดด้านอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง และปีนี้เองเราก็เชื่อว่ายังจะชะลอตัวต่อ แม้ว่าภาครัฐฯคาดว่าจะมีการเติบโตได้ 5% ก็ตาม ก็ทำให้บริษัทฯปรับตัวโดยหันมาเพิ่มสัดส่วนรายได้จากโครงการภาครัฐฯมากขึ้น ซึ่งปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวสูง ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ และโครงการเปลี่ยนระบบจำหน่ายไฟฟ้าจากระบบสายอากาศเป็นระบบสายใต้ดิน ที่ปัจจุบันมี TOR ออกมาแล้วและคาดว่าจะเริ่มเห็นการประมูลเฟสแรกในไตรมาส 2/59 และจะมีเฟสต่อๆไปออกมาเพิ่มเติมอีก ซึ่งโครงต่างๆของภาครัฐมีตัวเลขที่น่าสนใจเนื่องจากมีการประเมินว่ามูลค่าการลงทุนจะสูง 2.9 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่อยู่ระดับไม่ถึงแสนล้านบาท”นายธานินทร์ กล่าว

ทั้งนี้บริษัทได้มีการติดตามราคาเหล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักอย่างใกล้ชิด โดยปีนี้คาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้นประมาน 20-30% และไม่น่าจะปรับขึ้นมากกว่านี้แล้ว เนื่องจากปริมาณการใช้เหล็กยังไม่มากนัก และภาคอสังหาริมทรัพย์ยังชะลอตัวอยู่ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯก็อยากจะให้ความเชื่อมั่นว่าสามารถบริหารจัดการได้ โดยปัจจุบันบริษัทฯได้ปรับราคาขายตามการปรับขึ้นหรือการปรับลงของราคาเหล็กอยู่แล้ว

Back to top button