หน้าบาง…ตามปกติแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

ในที่สุด แม้ว่าจะยอมรับ ”สารภาพครึ่งราคา” เสียค่าปรับกรณีที่ใช้ข้อมูลวงในซื้อขายหุ้น นายวิทูร สุริยวนากุล ก็ได้ตัดสินใจลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL นับแต่กรรมการบริษัท ประธานคณะกรรมการบริหาร และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร


ในที่สุด แม้ว่าจะยอมรับ ”สารภาพครึ่งราคา” เสียค่าปรับกรณีที่ใช้ข้อมูลวงในซื้อขายหุ้น นายวิทูร สุริยวนากุล ก็ได้ตัดสินใจลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL นับแต่กรรมการบริษัท ประธานคณะกรรมการบริหาร และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

เหลือแค่ตำแหน่งเดียวคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทซึ่งลาออกไม่ได้ นอกจากขายหุ้นทิ้งไป…ซึ่งยังไม่ได้เกิดขึ้น

การลาออกครั้งนี้เป็นผลพวงจากการที่นายวิทูร ยอมรับบทลงโทษจาก ก.ล.ต. ในข้อหาใช้ข้อมูลวงในซื้อขายหุ้น เข้าข่ายเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก เมื่อไม่นานมานี้

ขณะเดียวกันกรรมการตรวจสอบของ GLOBAl  อีกคนคือ นายสุรศักดิ์ จันโทริ ก็ได้ลาออกพร้อมกันด้วยในการกระทำผิดข้อหาเดียวกัน

ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษว่า นายวิทูรซึ่งมีอำนาจตัดสินใจเงื่อนไขความตกลงระหว่าง GLOBAL กับบริษัท เอสซีจี ดีสทริบิวชั่น จำกัด (SCG) ได้อาศัยข้อมูลภายในซื้อหุ้น บริษัท โกลบอล เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ GLOBAL จำนวน 8,022,881 หุ้น และ GLOBAL-W จำนวน 3,500,700 หน่วย ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน-23 สิงหาคม 2555 ระหว่างที่ GLOBAL ได้ถูกซื้อ บริษัท เอสซีจี ดีสทริบิวชั่น จำกัด (SCG) บริษัทย่อยที่ถือหุ้น 100% โดยบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ติดต่อซื้อหุ้น 30% โดยข้อตกลงดังกล่าวเพิ่งได้รับการเปิดเผยต่อประชาชนเป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 55 แต่ระหว่างวันที่ 29 มิ.ย.-23 ส.ค. 55 นายวิทูรได้อาศัยข้อมูลภายในซื้อหุ้น GLOBAL จำนวน 8,022,881 หุ้น และ GLOBAL-W จำนวน 3,500,700 หน่วย ผ่านบัญชีบุคคลใกล้ชิดอื่นหลายบัญชี และได้รับความช่วยเหลือจากลูกๆ คือ นางสาวกุณฑี สุริยวนากุล นายอภิลาศ สุริยวนากุล และนายเกรียงไกร สุริยวนากุล ให้มีการซื้อและชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ เข้าข่ายอินไซเดอร์ เทรดดิ้ง ตามมาตรา 24

การเข้าถือหุ้นของค่ายซีเมนต์ไทยคราวนั้น ใช้เงินมูลค่า 10,000 ล้านบาท จากการซื้อหุ้นจากกลุ่มนายวิทูรบางส่วน (ประมาณ 4 พันล้านบาท) และซื้อหุ้นเพิ่มทุนซึ่ง GLOBAL จะออกและขายแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) จำนวน 224 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 14 บาท และการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์บางส่วน (Partial Tender Offer) ทั้งหุ้นสามัญที่ราคา 14 บาทต่อหุ้น และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นจากผู้ถือหลักทรัพย์ของ GLOBAL ที่ราคา 9.30 บาท เพื่อที่จะถือหือหุ้นใน GLOBAL ไม่เกินสัดส่วน 30% ภายใต้ความมุ่งหวังที่จะเป็น Strategic Partner ของ GLOBAL

การใช้ข้อมูลวงในดังกล่าว ในวงเงินความผิดประมาณ 25 ล้านบาทเศษนั้น เข้าข่าย “สิงโตกินหนอน” อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเงิน 4 พันล้านบาทที่ได้รับจากการขายหุ้น “บิ๊กล็อต” ให้กับค่ายซีเมนต์ไทยในคราวนั้น

ข้อกล่าวโทษดังกล่าวนายวิทูร ยอมรับและยอมจ่ายค่าปรับ  ก.ล.ต.จึงลงโทษนายวิทูรด้วยการปรับเป็นเงินสด 24,322,064.40 บาท และปรับ นางสาวกุณฑี นายอภิลาศ และนายเกรียงไกรในฐานะผู้สนับสนุน เป็นเงินรายละ 333,333.33 บาท เป็นเงินรวม 25,322,064.39 ล้านบาท ทำให้หยุดยั้งคดีอาญาต่อไป

ขณะที่กรรมการตรวจสอบของ GLOBAL  อีกคนคือ นายสุรศักดิ์ จันโทริ ได้มีการกระทำผิดในเวลาใกล้เคียงกัน โดยได้ซื้อหุ้น GLOBAL จำนวน 75,000 หุ้น ในวันที่ 22 ส.ค. 55 ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายเอกกมล จันโทริ  แต่ทั้งสองคนไม่ถูกลงโทษปรับ แต่ส่งเรื่องกล่าวโทษต่อ DSI เพราะพบพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า ล่วงรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเข้าร่วมทุนดังกล่าว 

กรณีของการลาออกของนายสุรศักดิ์ ถือว่าเป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมาย เพราะถูกดำเนินการเพื่อฟ้องร้องต่อไปในคดีอาญา แต่กรณีของนายวิทูรแตกต่างออกไป เพราะเป็นการเสียสละตนเอง…ไม่ได้มีเสียงเรียกร้องจากใคร…นอกจากจิตสำนึกที่ดีของตนเอง

การถูกลงโทษและยอมเสียค่าปรับดังกล่าวของนายวิทูร ทำให้สามารถอ้างได้ว่า เรื่องราวได้จบสิ้นแล้ว และไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์อีกต่อไป สามารถนั่งทำงานต่อไปได้ …แต่คนที่หน้าบางตามปกติอย่างนายวิทูร กลับเลือกเอาการลาออกเป็นการยุติปัญหาทั้งปวง

ไม่หน้าหนาเหมือนผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่บางคน…ที่นอกจากไม่ยอมลาออกทั้งที่ทำผิดทนโท่ ยังหน้าด้านทวงบุญคุณใครต่อใครอีก…ยิ่งกว่าพื้นคอนหกรีตเสริมเหล็กอัดแรงหลายเท่า

การเสียสละตนเองของนายวิทูร  ควรแก่การคารวะอย่างยิ่ง ทั้งในแง่ของบุคคล และในแง่ธรรมาภิบาล เพราะว่าไปแล้ว เขาคือผู้นำในการบุกเบิกธุรกิจของ GLOBAL จากกิจการค้าปลีกโมเดิร์นเทรด ที่เริ่มต้นในจังหวัดร้อยเอ็ด เมืองแห่งเขยฝรั่งอันลือเลื่อง ด้วยกลยุทธ์ ”ชนบทล้อมเมือง” ที่ไปได้สวยด้วยดีเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งเติบใหญ่เป็นบริษัทมียอดขายหลายหมื่นล้านบาทต่อปี พิสูจน์แล้วว่าโมเดลธุรกิจที่คิดขึ้นมานั้น แข่งกับใครอื่นได้

คนที่ก่อร่างสร้างตัวมาจาก 0 แล้วมาเป็นกิจการนับหมื่นล้านบาท ไม่มีอะไรจะต้องพิสูจน์อีกแล้ว…การกระทำผิดเพียงครั้งเดียว ก็ยังสามารถพิสูจน์ตัวเองว่า ไม่ยึดติด…ไม่มีอหังการ…และไม่ “ด้านได้ อายอด” จึงเป็นบทพิสูจน์จิตใจที่มีความหมายว่า…คนจริง “ต้องยืดได้ และหดได้”

อย่าได้เอาของปลอมไปเทียบเลย…ทองแท้ ย่อมต่างจากทองปลอม…เสมอ 

Back to top button