TAE คาดรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2.6 พันลบ.ในปีก่อน
TAE คาดรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2.6 พันลบ.ในปีก่อน
นายสมชาย โล่ห์วิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TAE เปิดเผยว่า บริษัทจะพยายามรักษารายได้รวมปีนี้ไม่ให้ต่ำกว่าระดับ 2.6 พันล้านบาทในปีก่อน แม้ราคาขายเอทานอลอาจจะต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในปีก่อนที่อยู่ในระดับ 24 บาท/ลิตร โดยราคาขายในปัจจุบันอยู่ที่ 22 บาท/ลิตร ลดลงเกือบ 10% เป็นไปในทิศทางเดียวกันราคาน้ำมันที่ปรับลดลง แต่บริษัทจะผลักดันปริมาณขายในปีนี้ให้เพิ่มขึ้นราว 10% จากระดับ 102 ล้านลิตรในปีก่อน มาอยู่ที่ 114-115 ล้านลิตร ก็จะช่วยประคองรายได้รวมในปีนี้ได้
นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มผลกำไรสุทธิในปีนี้ก็ต้องขึ้นกับราคาวัตถุดิบว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยวัตถุดิบหลัก คือ กากน้ำตาล (โมลาส) แม้ว่าปัจจุบันบริษัทได้ซื้อเตรียมไว้แล้วในสัดส่วน 80% สำหรับการใช้ผลิตเอทานอลในปีนี้ที่ระดับราคา 4,300 บาท/ตัน ลดลงจากราคาเฉลี่ยในปี 58 ที่ 4,800 ล้านบาท/ตัน แต่ส่วนที่เหลืออีก 20% ยังต้องไปซื้อเพิ่มเติมในช่วงปลายปี ซึ่งตามปกติราคาโมลาสช่วงปลายปีจะสูงกว่าต้นปี
นายสมชาย กล่าวอีกว่า แนวโน้มรายได้ไตรมาส 1/59 น่าจะเป็นไปตามเป้า โดยปริมาณขายเอทานอลอยู่ที่ 18-19 ล้านลิตร ที่ระดับราคา 22 บาท/ลิตร ในไตรมาสนี้ไม่ได้มีการขายตัดราคา เพราะส่วนใหญ่ราคาขายของบริษัทจะสูงกว่าตลาดที่อยู่ระดับ 21.50 บาท แต่ยังต่ำกว่าราคาเฉลี่ยในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดหวังว่าหากรัฐบาลสามารถส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์เพื่อให้เกิดการใช้ E20 และ E85 เพิ่มขึ้นได้ตามแผนก็เชื่อว่าในอนาคตธุรกิจเอทานอลจะไปได้อีกไกล
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทตั้งงบไว้ราว 80-100 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร เพราะโรงงานแห่งที่ 1 ใช้งานมา 10 ปีแล้ว โดยปัจจุบันโรงงานผลิตเอทานอลของบริษัทตั้งอยู่ใน อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี มี 2 สายการผลิต คิดเป็นกำลังผลิตรวม 3.65 แสนลิตร/วัน หรือ 120 ล้านลิตร/ปี
ส่วนการลงทุนโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลที่มีกำลังผลิต 2 แสนลิตร/วันใน จ.กำแพงเพชร ที่บริษัทได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมศึกษาโครงการกับบริษัท กำแพงเพชร ไบโอ เอทานอล จำกัด (KBE) ในกลุ่มบริษัท แสงฟ้า กรุ๊ป ผู้นำในการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตรนั้น ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาซึ่งหากสรุปการทำโครงการก็คาดว่าจะก่อสร้างได้แล้วเสร็จปี 61 มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งจะจำหน่ายเอทานอลในประเทศเป็นหลัก
นายสมชาย กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจขั้นปลายที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การผลิตแอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น หรือสารทำละลาย (โซลเว้นท์) ซึ่งตลาดมีความต้องการจำนวนมาก โดยจะผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก แต่เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะที่ไม่ดีนักก็อาจจะส่งผลต่อความต้องการใช้ในขณะนี้ โดยบริษัทก็แค่ศึกษาเตรียมความพร้อมไว้รองรับหากเศรษฐกิจฟื้นตัว คาดว่าผลสรุปน่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 200-300 ล้านบาทเพื่อใช้ปรับปรุงเครื่องจักรเท่านั้น
นายสมชาย กล่าวถึงกระแสข่าวกองทุนสิงคโปร์จะเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทว่า กองทุนต่างประเทศส่วนใหญ่ที่จะเข้ามาลงทุนจะติดต่อผ่านทางโบรกเกอร์ หรือที่ปรึกษาทางการเงินมากกว่า ไม่ได้เข้ามาเจรจากับบริษัทโดยตรง